วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การนำ Registry 64 Bit มาใช้แบบ 32 Bit




สวัสดีครับบทความนี้มาจากปัญหาของสมาชิกท่านหนึ่งในบอร์ด linuxthai.org เบื้องต้นผมได้แนะนำหลักการไปแล้ว มาวันนี้ผมจะขออธิบายอย่างละเอียดว่าในการนำ Registry แบบ 64 Bit มาใช้กับระบบ 32 Bit เราต้องพิจารณายังไง แก้ไขส่วนใดบ้างถึงจะใช้ได้

ตำแหน่งเก็บ Registry เกมส์จะมีอยู่ 2 ตำแหน่ง คือ

1. HKEY_CURRENT_USER
2. HKEY_LOCAL_MACHINE

HKEY_CURRENT_USER

ผมจะเอา Registry ของเกมส์ Audition ซึ่งเก็บไว้ที่ HKEY_CURRENT_USER ระหว่าง 64 Bit กับ 32 Bit มาเปรียบเทียบกันดู

Registry Audition 32 Bit

Windows Registry Editor Version 5.00

[HKEY_CURRENT_USER\Software\AUDITION]

[HKEY_CURRENT_USER\Software\AUDITION\Thailand]
@="D:\\Game\\Audition\\audition.exe"
"AUTOSTART"=dword:00000000
"CEHCKVERSION"=dword:00001770
"EXECUTE"="audition.exe"
"PatcherVersion"=dword:00000024
"PATH"="D:\\Game\\Audition"
"VERSION"=dword:00001887

Registry Audition 64 Bit

Windows Registry Editor Version 5.00

[HKEY_CURRENT_USER\Software\AUDITION]

[HKEY_CURRENT_USER\Software\AUDITION\Thailand]
@="D:\\Game\\Audition\\audition.exe"
"AUTOSTART"=dword:00000000
"CEHCKVERSION"=dword:00001770
"EXECUTE"="audition.exe"
"PatcherVersion"=dword:00000024
"PATH"="D:\\Game\\Audition"
"VERSION"=dword:00001887

จะเห็นว่า Registry ทั้ง 2 ระบบ เหมือนกัน สามารถใช้ด้วยกันได้



HKEY_LOCAL_MACHINE

ในส่วนนี้ผมจะใช้ Registry เกมส์ Couter Strike Online ซึ่งเก็บไว้ที่ HKEY_LOCAL_MACHINE ระหว่าง 64 Bit กับ 32 Bit มาเปรียบเทียบกันดู

Registry THCSO 32 Bit

Windows Registry Editor Version 5.00

[HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\PlayFPS\THCSO]
"Executable"="D:\\Game\\THCSO\\Bin\\CSOLauncher.exe"
"RootPath"="D:\\Game\\THCSO\\"
@="D:\\Game\\THCSO\\Bin\\CSOLauncher.exe"
"PATH"="D:\\Game\\THCSO\\Bin"

Registry THCSO 64 Bit

Windows Registry Editor Version 5.00

[HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Wow6432Node\PlayFPS\THCSO]
"Executable"="D:\\Game\\THCSO\\Bin\\CSOLauncher.exe"
"RootPath"="D:\\Game\\THCSO\\"
@="D:\\Game\\THCSO\\Bin\\CSOLauncher.exe"
"PATH"="D:\\Game\\THCSO\\Bin"

จะเห็นว่ามีตำแหน่งที่เก็บ Registry ต่างกัน \Wow6432Node

สรุป

ในการนำ Registry เกมส์แบบ 64 Bit มาใช้กับ 32 Bit มีหลักในการพิจารณา 2 หลัก คือ

1. หากเป็น Registry ตำแหน่ง HKEY_CURRENT_USER สามารถนำไปใช้ได้เลย
2. หากเป็น Registry ตำแหน่ง HKEY_LOCAL_MACHINE ต้องลบคำว่า \Wow6432Node ออกก่อน จึงจะสามารถนำไปใช้ได้

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ท่านเข้าใจในระบบ Registry ระหว่าง 32 Bit และ 64 Bit และสามารถนำไปใช้กับเกมส์ต่างๆได้ด้วยตัวเอง ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบทความนี้ครับ

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การอัพเกรดคอมพิวเตอร์




จำเป็นหรือไม่ เมื่อเราทำร้านเน็ตแล้วจะต้องอัพเกรดคอมพิวเตอร์ คำตอบคือ จำเป็นครับ แต่การอัพเกรดในมุมมองของผม คือการขายของเดิม และลงเครื่องใหม่ทั้งหมด

ในความเป็นจริง การเติบโตของตลาด Hardware นั้นก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และเมื่ออุปกรณ์มีความสามารถมากขึ้นทำให้ผู้พัฒนา Software เรียกใช้ความสามารถเหล่านั้นตามมา

ผมคงไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่า ทุกท่านต้องอัพเกรดเมื่อไหร่ เพราะสเป็ค และสภาพแวดล้อมของแต่ละท่านก็ต่างกันออกไป ผมจึงขอแชร์สไตล์การวางระบบ และสิ่งที่ผมแนะนำลูกค้า ให้ผู้อ่านได้ศึกษาจะดีกว่า

คอมพิวเตอร์ควรใช้แค่ 3 ปี

ในการวางระบบแต่ละครั้ง หากลูกค้าได้มอบความไว้วางใจให้ผมจัดหาคอมพิวเตอร์เพื่อนำมาให้บริการ (เครื่องลูก) ผมจะจัดสเป็คที่คิดว่าจะใช้งานได้ครอบคลุมตลอดระยะ 3 ปี โดยไม่ต้องอัพเกรดอุปกรณ์ใดๆภายหลัง

เพราะอุปกรณ์ส่วนใหญ่ประกันแค่ 3 ปี เช่น CPU, Mainboard, PSU, Monitor เป็นต้น และจากประสบการณ์เมื่อหมดระยะประกัน อุปกรณ์ต่างๆมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาในการใช้งาน

ควรขายเท่าไหร่

อันนี้แล้วแต่การตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายครับ แต่บอกได้ว่าถึงแม้จะหมดประกัน ถ้าหากที่ผ่านมาเราหมั่นดูแลเป่าฝุ่น ทำความสะอาด เครื่องยังใหม่มากครับ และก็ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ เพราะเราไม่ได้ขายเครื่องเสีย หรือเครื่องมีปัญหา เราขายเครื่องหมดประกันเพื่อลดความเสี่ยง และง่ายต่อการดูแลระบบ ราคาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 50% ของราคาซื้อครับ

ประโยชน์ของการอัพเกรดเครื่อง

- รองรับเกมส์ใหม่ๆได้อีก 3 ปี
- กระตุ้นยอดขายด้วยการติดป้ายให้ลูกค้าทราบว่าจะได้เล่นเครื่องใหม่ที่เร็ว แรงกว่าเดิม
- ไม่ต้องลำบากในการหาอุปกรณ์แบบเดิมมาทดแทนในกรณีที่เสีย
- ไม่ต้องกลัวคู่แข่งมาเปิดใหม่ เพราะถ้าเราทำดีลูกค้าที่ดีย่อมไม่ไปไหน

อย่ามองว่าร้านเน็ตเป็นเสือนอนกินเลยครับ ผมอยากให้มองเป็นการประกอบธุรกิจที่ต้องใช้ความรู้มาแข่งขันกัน ใครที่มีความพร้อม มีแผนการในอนาคต ย่อมได้เปรียบ และอยู่รอดได้มากกว่าครับ

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิธีติดตั้ง ClearOS สำหรับร้านเน็ต




ผมนั่งคิดอยู่นานว่าจะทำบทความ วิธีติดตั้ง ClearOS สำหรับร้านเน็ต แบบรูปภาพ หรือวีดีโอดีกว่ากัน แบบรูปภาพก็อาศัยการจับภาพหน้าจอ พร้อมเขียนวิธีบอกไปเรื่อยๆ แบบนี้ผมเคยทำแล้ว แต่แบบวีดีโอลง Youtube อันนี้ยังไม่เคยทำ เลยลองซะเลย ^^

บรรยายเพิ่มเติม

- เครื่อง Server ต้องมี Lan อย่างน้อย 2 ใบ
- การตั้งค่าอินเตอร์เน็ตผมเลือก PPPoE แล้วใส่ Username กับ Password อะไรไปก่อน เดี๋ยวค่อยไปตั้งค่าใน Webconfig
- Modules เลือกตามต้องการ หากยังไม่ทราบ เลือกตามผมก็ได้ครับ เราสามารถเพิ่ม Modules ต่างๆหลังจากที่เราลงทะเบียน ClearOS แล้ว
- หลังจากติดตั้งเสร็จให้เอาแผ่นออก แล้วกด Enter รอจนขึ้นหน้าจอแบบรูปด้านล่าง ผมไม่สามารถรอได้ เพราะ พึ่งเปิดใช้งาน Youtube อนุญาตให้อัพโหลดวีดีโอได้ไม่เกิน 15 นาทีครับ
- ที่ความละเอียด 720p จะมีความคมชัดสูงสุด
- หากท่านดูไม่ทัน ท่านสามารถ Pause หรือเลือกเล่นบน Timeline ตามต้องการได้ครับ


วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การตั้งค่า IP Address Server ClearOS




สวัสดีครับ วันนี้ผมมีเทคนิคเล็กๆน้อยๆมาแนะนำครับ นั่นคือ การตั้งค่า IP Address ให้กับ Server ClearOS นั่นเอง

ประโยชน์หลักๆของการตั้ง IP ที่ผมจะแนะนำคือ ช่วยให้ไม่เกิดปัญหา IP ซ้ำกัน และผู้ดูแลระบบสามารถเข้า Webconfig ของ Modem ได้ทุกตัว สามารถดูค่าสัญญาณต่างๆที่ Modem ได้รับจาก ISP ได้

ขอแบ่งการเชื่อมต่อของ Server ClearOS ออกเป็น 2 ฝั่ง คือ

ฝั่ง WAN

หมายถึง ฝั่งที่ต่อกับอินเตอร์เน็ต ตามรูปคือ ETH0 และ ETH2

หลักการคือ IP ของ Lan Card หรือ ETH แต่ละใบต้องอยู่คนละ Class กัน

หากเรามี Modem 2 ตัว ก็ต้องตั้งค่าให้อยู่คนละ Class กันด้วยเช่น

Modem 1 IP 192.168.1.1
Modem 2 IP 192.168.2.1

หากมีโมเด็มมากกว่านี้ก็ไล่ไปเรื่อยๆ เช่น

Modem 3 IP 192.168.3.1
Modem 4 IP 192.168.4.1

จากนั้นเมื่อเราเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตบน Server ClearOS ก็จะได้รับ IP Class เดียวกับ Modem ในกรณีรับค่าแบบ DHCP

แต่ถ้าหากเราตั้งค่าแบบ Static ก็ให้กำหนดค่า IP ของ ETH ให้เป็น Class เดียวกับโมเด็ม แต่ห้ามซ้ำกับ IP Modem

ฝั่ง LAN

หมายถึง ฝั่งที่ต่อเข้ากับ Switch ในร้าน เรากำหนดเองตอนติดตั้ง Server ClearOS ซึ่ง IP Class นี้ จะเป็น Class เดียวกับเครื่องลูกภายในร้าน

เมื่อเราแยก IP ให้กับ ETH ของ Server ClearOS เราก็สามารถเข้า Webconfig ด้วย IP Address Modem ที่ต้องการบน Browser ได้เลยครับ

Tips

หากเราเชื่อมต่ออินเดอร์เน็ตแบบ PPPoE จะไม่สามารถตั้ง IP ผ่าน Webconfig ของ Server ClearOS ได้ แต่สามารถตั้ง IP Address ผ่าน Command line ได้ ด้วยคำสั่ง

ifconfig eth0 192.168.1.2

หมายเหตุ

เปลี่ยนเลข eth และ IP Address ตามต้องการ

ก็เป็นเทคนิคเล็กๆน้อยๆที่ช่วยให้เราดูแลระบบได้ง่ายขึ้น ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบทความนี้ครับ

แก้ปัญหา ClearOS แจก IP ชน Diskless




เป็นปัญหาหลักของร้านเน็ตที่ใช้ Server ClearOS และ Server Diskless ในร้านเดียวกัน เพราะปกติแล้วเครื่องลูกต้องรับ IP จาก Server Diskless แต่วันดีคืนดี ไปรับจาก Server ClearOS เป็นสาเหตุให้บูต Windows ไม่ได้ และค้างอยู่ที่หน้าจอ DHCP ถ้าสังเกตจะพบว่า IP ที่ได้รับ ไม่ตรงกับ IP ที่ตั้งใน Server Diskless

หลายท่านอาจจะแก้ปัญหาด้วยการปิด DHCP ที่ Server ClearOS ก็ไม่ผิดแต่อย่างไร แต่อาจมีบางท่านรวมทั้งตัวผมเองยังจำเป็นต้องใช้ DHCP จาก  Server ClearOS อยู่ จึงต้องหาวิธีตั้งค่าให้ Server ClearOS ไม่แจก IP เฉพาะเครื่องลูกในระบบ Diskless

การตั้งค่า Server ClearOS ให้ไม่แจก IP เครื่องลูก Diskless

ใช้คำสั่ง

dhcp-host=xx:xx:xx:xx:xx:xx,ignore

xx:xx:xx:xx:xx:xx หมายถึง MAC Address ของเครื่องที่ต้องการ

ไฟล์ที่ต้องแก้ไข

/etc/dnsmasq.conf

* ให้เพิ่มคำสั่งที่บรรทัดล่างสุด

เครื่องมือที่ใช้

ตามสะดวก ถนัดตัวไหนใช้ตัวนั้นได้เลย จะเป็น WinSCP, Webmin หรือผ่าน Command line อย่าง nano, pico ก็ได้ครับ

ตัวอย่าง

สมมุตเครื่องลูก 3 เครื่อง มี MAC Address ดังนี้

เครื่องที่ 1 00:0B:6A:E4:B9:B0
เครื่องที่ 2 00:1D:7D:5A:1E:8D
เครื่องที่ 3 00:25:22:AD:89:5C

จะได้คำสั่งเป็น

dhcp-host=00:0B:6A:E4:B9:B0,ignore
dhcp-host=00:1D:7D:5A:1E:8D,ignore
dhcp-host=00:25:22:AD:89:5C,ignore

เมื่อเพิ่มคำสั่งและบันทึกไฟล์เรียบร้อยแล้ว ต้อง Restart Service ด้วยคำสั่ง

[root@system ~]# service dnsmasq restart
Stopping dnsmasq:                                          [  OK  ]
Starting dnsmasq:                                          [  OK  ]
[root@system ~]#

Tips

MAC Address ของเครื่องลูกในระบบ Diskless ทั้งหมด เราสามารถหาได้ที่ไฟล์ wks.ini ในโฟลเดอร์ Richtech

ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจ และติดตามอ่าน ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ท่านวางระบบได้ตามที่ต้องการ แลัใช้ประโยชน์กับความสามารถของ Server ที่มีได้เต็มที่ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตั้งเวลาปิดและ Restart Server ClearOS




ผู้ดูแลระบบ หรือเจ้าของร้านเน็ตบางท่านมีความจำเป็นต้องสั่งปิดเครื่องและ Restart เครื่องเป็นประจำ แต่บางครั้งไม่สะดวกสั่งงานด้วยตัวเอง เลยเกิดคำถามขึ้นว่าเราจะตั้งเวลาปิดและ Restart Server ClearOS ได้มั้ย

คำตอบคือ ได้ ครับ เพราะ Server ClearOS มี Crontab มาให้เราใช้งานอยู่แล้ว แต่เราต้องสั่งงานผ่าน Command line ซึ่งผู้เริ่มต้นใช้งานอาจจะรู้สึกว่ายาก แต่ผมมีวิธีการตั้งเวลาผ่าน Webmin ซึ่งง่ายมากๆ มั่นใจว่าต้องทำได้ทุกคนอย่างแน่นอน แล้วเมื่อท่านมีเวลาค่อยศึกษาคำสั่ง Command line เพิ่มเติมก็ได้

แต่การตั้งเวลาปิดและ Restart Server ClearOS ผ่าน Webmin นั้น ท่านต้องติดตั้ง Webmin บน ClearOS และตั้งเวลาเครื่อง ให้เรียบร้อยเสียก่อน ท่านสามารถอ่านบทความทั้ง 2 ได้ที่

1. ติดตั้ง Webmin บน ClearOS
2. การตั้งเวลา Server ClearOS

วิธีตั้งเวลาปิดเครื่อง Server ClearOS ผ่าน Webmin

เข้า Webmin ที่

https://ไอพี่เซิฟเวอร์ของท่าน:10000/

ไปที่ System > Scheduled Cron Jobs


คลิก Create a new scheduled cron job เพื่อเพิ่มคำสั่ง


ในส่วน Job Details

Execute cron job as
ใส่ root

Active?
Yes

Command
poweroff

ในส่วน When to execute

เลือก Times and dates selected below เพื่อกำหนดเวลาเอง

ตัวอย่างในรูปคือ สั่งปิดเครื่องทุกวัน เวลา 00.05 น.

เราสามารถเลือกเป็นทุกอาทิตย์ ทุกเดือน ก็ได้นะครับ

จากนั้นกด Save เพื่อบันทึกคำสั่ง


เมื่อกลับสู่หน้า Scheduled Cron Jobs จะเห็นว่ามีคำสั่ง poweroff เพิ่มขึ้นมาที่แถวล่างสุด ก็เป็นอันเสร็จครับ


ส่วนการตั้งเวลา Restart ก็ทำเหมือนกับตั้งเวลาปิดเครื่อง เพียงแต่เปลี่ยนคำสั่ง poweroff เป็น reboot

เห็นมั้ยครับว่าลีนุกส์ง่ายนิดเดียว หากเรารู้จักใช้เครื่องมืออำนวยความสะดวกต่างๆ ก็จะทำให้การดูแลระบบเป็นเรื่องสนุกมากขึ้น นอกจากใช้ตั้งเวลาปิดและ Restart Server ClearOS แล้ว ยังสามารถประยุกต์ใช้กับคำสั่งอื่นๆตามต้องการได้อีกด้วยครับ

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การตั้งเวลา Server ClearOS




สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของการทำระบบคือ การตั้งเวลา ครับ เพราะเวลาใน Server นั้นสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Log ต่างๆที่ช่วยให้เราวิเคราะห์ปํญหาว่าเกิดตอนไหน เวลาเท่าไหร่ หรือการใช้งาน Crontab เพื่อตั้งเวลาสั่งงาน ล้วนแต่ต้องใช้เวลาที่ตรงกัน

สำหรับ Server ClearOS นั้นก็เช่นกัน หากเราพึ่งติดตั้ง Server หรือติดตั้งแล้ว แต่ไม่เคยตั้งเวลามาก่อน Server นั้นจะมีเวลาเป็น GMT +0 ซึ่งช้ากว่าเวลาประเทศไทศถึง 7 ชั่วโมง แต่ ClearOS ก็มีเครื่องมือตั้งเวลาให้ถูกต้อง และยังอัพเดทอัตโนมัติ มาให้เราใช้งาน

การตั้งเวลา Server ClearOS

เข้า Webconfig ที่

https://ไอพีเซิฟเวอร์ของท่าน:81

ไปที่ System > Settings > Date

Time Zone
เลือกเป็น Asia - Bangkok

NTP Time Server
เลือกเป็น Enabled

กด Update

กด Synchronize Now

Tips
ในการตั้งเวลานี้ Server ClearOS ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ถึงจะสามารถอัพเดทเวลาให้ถูกต้องได้

เสร็จแล้วครับ เราตั้งเวลาแค่ครั้งเดียว Server ClearOS จะอัพเดทเวลา (Synchronize) ให้เราตลอดไป

ติดตั้ง Webmin บน ClearOS




ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบใช้ Webmin เพื่อจัดการ Server Linux เพราะ Webmin ได้จัดเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือจำนวนมากมาให้ใช้งาน และยังอนุญาตให้เราสร้างปุ่มคำสั่งต่างๆที่ต้องการได้เองอีกด้วย ทำให้ผมสามารถ Remote Server เพื่อดูแล แก้ไข ได้อย่างรวดเร็ว และทุกที่ ขอแค่มี Smart Phone กับอินเตอร์เน็ตเท่านั้น มันสุดยอดมากเลยใช่มั้ยครับ

ถึงแม้ว่า ClearOS จะมี Webconfig อยู่แล้ว แต่ก็เพียงแค่คำสั่งส่วนหนึ่งเท่านั้น หากเราติดตั้ง Webmin เสริมเข้าไป ก็ยิ่งเพิ่มศักยภาพในการดูแลระบบของเรามากขึ้น หากฝึกใช้งานจนคล่องแล้วอาจไม่ต้องใช้โปรแกรมเน็ตเวิร์คอื่นๆเลย

วิธีติดตั้ง Webmin บน ClearOS

ไปที่ http://www.webmin.com/download.html และดาวน์โหลด Package แบบ RPM


โยน Package ที่โหลดมาเข้า Server ClearOS ด้วยโปรแกรม WinSCP

ใช้โปรแกรม PuTTY เพื่อสั่งติดตั้ง Package ดังนี้

[root@system ~]# ls
anaconda-ks.cfg  install.log  install.log.syslog  webmin-1.610-1.noarch.rpm
[root@system ~]# rpm -U webmin-1.610-1.noarch.rpm
warning: webmin-1.610-1.noarch.rpm: Header V3 DSA signature: NOKEY, key ID 11f63c51
Operating system is CentOS Linux
Webmin install complete. You can now login to https://system.clearos.lan:10000/
as root with your root password.
[root@system ~]#

* หาก Webmin Update Version ก็เปลี่ยนให้ตรงด้วยนะครับ

เมื่อติดตั้งเสร็จ ก็เข้า Webmin ได้ที่

https://ไอพีเซิฟเวอร์ของท่าน:10000/

และ Login ด้วย Username และ Password ของ Server ClearOS


ง่ายๆกับการติดตั้ง Webmin บน ClearOS แต่มาพร้อมความสามารถมากมายให้ใช้งานครับ

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตัวอย่างการจัดสเปค Server Diskless




หลังจากที่ได้ทราบแล้วว่า อุปกรณ์แต่ละตัวในเครื่อง Server Diskless มีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนจากบทความ แนวทางจัดสเปค Server Diskless วันนี้ผมจะยกตัวตัวอย่างการจัดสเปค Server Diskless กับร้านเน็ตขนาดต่างๆให้เป็นแนวทาง

แต่ก่อนจะไปดูตัวอย่าง ผมขอออกตัวแรงๆอีกครั้งหนึ่งว่า Brand และรุ่นของอุปกรณ์ที่นำมาแนะนำ เป็นความชอบส่วนตัว ไม่ได้หมายความว่า ดีที่สุด หรือต้องเป็น Brand นี้เท่านั้น คุณสามารถประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยน์มากกว่าได้ เช่น เลือก Brand ที่มีศูนย์บริการใกล้ หาซื้อง่าย หรือมีอุปกรณ์บางตัวที่ชอบอยู่แล้ว

Spec Server Diskless สำหรับ 20 เครื่อง

CPU: AMD Athlon II X2-270
MAINBOARD: GIGABYTE GA-970A-D3
RAM: DDR3(1333) 8GB. Kingston
SYSTEM + BACKUP: 500 GB. SATA-III Western 16MB Blue
IMAGE: 256 GB. SATA-III SSD OCZ Vertex4
SWAP/WKS DIR/COW: 64 GB. SATA-III SSD OCZ Vertex4
LAN: On Board
VGA: 1GB (III) PCIe GT210 'GigaByte' HDMI
CASE: CoolerMaster Elite310 (Black-Blue)
PSU: 550W. CoolerMaster GX

คำอธิบาย
- จะเห็นว่าผมเลือกใช้ CPU ระดับล่าง เพราะความแรงของระบบ Diskless ไม่ขึ้นกับ CPU
- ผมเลือก Mainbord ขนาดใหญ่ เพราะมี Slot ต่างๆให้อย่างครบครัน แต่ Mainboard ตัวนี้ไม่มี VGA Onboard เลยต้องติด VGA Card เพิ่ม
- โดยที่ผมใช้ VGA Card ที่ไม่เน้นความแรง เพราะไม่ได้ใช้งาน หรือต่อจอด้วยซ้ำ แต่ต้องเลือกที่มันทนๆ มีพัดลม เพราะต้องเปิดเครื่องตลอดเวลา
- ส่วน Case นั้นมี พัดลมด้านหลังมาเพียงตัวเดียว ควรซื้อพัดลมขนาด 12 cm. ติดเพิ่มด้านหน้าด้วย
- อุปกรณ์ที่เหลือแรงเกินมาตรฐานครับ



Spec Server Diskless สำหรับ 40 เครื่อง

CPU: AMD Athlon II X3-455
MAINBOARD: GIGABYTE GA-970A-D3
RAM: DDR3(1333) 16GB. Kingston
SYSTEM + BACKUP: 500 GB. SATA-III Western 16MB Blue
IMAGE: 256 GB. SATA-III SSD OCZ Vertex4
SWAP/WKS DIR/COW: 128 GB. SATA-III SSD OCZ Vertex4
LAN: On Board + Intel PRO/1000 PT Server Adapter
VGA: 1GB (III) PCIe GT210 'GigaByte' HDMI
CASE: CoolerMaster Elite310 (Black-Blue)
PSU: 550W. CoolerMaster GX

คำอธิบาย
- ส่วนที่ต่างจากสเปค 20 เครื่อง คือ CPU เพิ่มขึ้นมาอีกขั้น แต่ก็ยังเป็น CPU ราคาประหยัดอยู่
- RAM เพิ่มเป็น 16 GB ทำให้ระบบลื่นไหล แม้จำนวนเครื่องจะมากขึ้นก็ตาม
- SSD ส่วนที่เขียนข้อมูลเพิ่มความจุให้เหมาะสมกับจำนวนเครื่อง
- LAN ชื่อ Intel รับประกันความแพงแรง โดยแบ่ง 1 Lan : 20 เครื่องลูก



Spec Server Diskless สำหรับ 60 เครื่อง

CPU: AMD FX-4100
MAINBOARD: GIGABYTE GA-970A-D3
RAM: DDR3(1333) 32GB. Kingston
SYSTEM + BACKUP: 1 TB. SATA-III Western 16MB Blue
IMAGE: 512 GB. SATA-III SSD OCZ Vertex4
SWAP/WKS DIR/COW: 64 GB. SATA-III SSD OCZ Vertex4 (2ตัว)
LAN: On Board + Intel PRO/1000 PT Dual Port Server Adapter
VGA: 1GB (III) PCIe GT210 'GigaByte' HDMI
CASE: CoolerMaster Elite310 (Black-Blue)
PSU: 550W. CoolerMaster GX

คำอธิบาย
- CPU แรงมากเพราะจำนวนเครื่องเยอะ หากไฟตก ไฟดับ จะได้ไม่มีปัญหาเปิดเครื่องช้า RAM
- จัดเต็มความจุ 32 GB ลดภาระ SSD ได้มาก Harddisk ใหญ่ขึ้นเพราะต้อง Backup Image ที่มากขึ้น
- SSD Image เพิ่มขนาดเป็น 512 GB เพราะร้านใหญ่ ลูกค้ามาก ความต้องการเกมส์ต่างๆก็มากตามไปด้วย ควรจะมีเกมส์รองรับลูกค้าได้ทุกประเภท
- SSD เขียนข้อมูล ใช้ 64 GB 2 ลูก รองรับลูกละ 30 เครื่องได้สบาย
- Lan Card ใช้ Intel Dual Port (2ช่อง) รวมกับ On Board เป็น 3 ช่อง แบ่ง Lan ละ 20 เครื่องพอดี



การนำ ตัวอย่างการจัดสเปค Server Diskless ไประยุกต์ใช้

- สมมุตคุณมีร้านขนาด 20 เครื่อง แต่คุณต้องการลงเกมส์เยอะๆเพื่อรองรับลูกค้าได้ทุกแบบ และคุณมีงบประมาณพอสำหรับ SSD 512 GB ก็จัดได้เลยครับ
- สมมุตว่าคุณมีเครื่องในร้าน 45 เครื่อง แต่คุณอยากประหยัดค่าใช้จ่าย คุณก็สามารถเลือกใช้สเปค 40 เครื่อง แทน 60 เครื่องได้

ก็จบไปแล้วสำหรับตัวอย่างการจัดสเปค Server Diskless หากสังเกตจะเห็นว่า Server ทั้ง 3 แบบยังคงมีอุปกรณ์บางตัวเหมือนเดิม เพราะว่ามันไม่มีผลเรื่องความเร็ว แต่มีผลเรื่องความเสถียร และผมไม่ได้ทำ RAID 0 เลย เหตุผลคือ SSD ที่นำมาใช้นั้นมีความเร็วสูงมากแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทำ RAID 0 ให้เกิดความเสี่ยงแต่อย่างไร เพียงแต่เลือกใช้ขนาดของ SSD ตามความต้องการ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบทความนี้จนจบ ผมหวังว่ามันจะช่วยเป็นข้อมูลให้ท่านจัดสเปค Server Diskless ได้ด้วยตัวท่านเองอย่างเหมาะสม และคุ้มค่ากับเงินลงทุนของท่านนะครับ

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แนวทางจัดสเปค Server Diskless




การจัดสเปค Server Diskless ถือเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งในการทำระบบ Diskless เพราะนอกจากต้องการความเร็ว แรง ไหลลื่น ในการใช้งานแล้ว ยังต้องคำนึงถึงงบประมาณ ความคุ้มค่า ความเสถียร และการ Maintenance ด้วย บทความนี้ผมจะอธิบายไปทีละส่วนว่าอุปกรณ์แต่ละตัวมีความสำคัญกับระบบ Diskless มากน้อยอย่างไร ควรให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ตัวใดมากกว่ากัน

รายละเอียดภายใน Server Diskless

CPU
ถือเป็นเรื่องดีที่ระบบ Diskless นั้น ไม่ใช้การประมวลของ CPU ซักเท่าไหร่ จะมากหน่อยก็ตอนที่เปิดเครื่องลูกพร้อมกันหลายๆเครื่องแค่นั้นเอง อีกทั้ง CPU ที่วางขายในตลาดตอนนี้ก็ถือว่าแรงพอกับระบบ Diskless แล้ว หากท่านผู้อ่านจะนำ CPU เก่าที่มีอยู่แล้วมาใช้งานก็แนะนำว่า CPU ควรจะมี 2 Core ขึ้นไปครับ

MAINBOARD
เป็นอุปกรณ์ที่มองข้ามไม่ได้เลยครับ เพราะเป็นศูนย์รวมของระบบทั้งหมด ทั้งระบบ BUS ระบบ Controller ต่างๆ แต่เลือกไม่ยากเท่าไหร่ เพราะ Mainboard ที่ใช้ Chipset ระดับบน Chip ต่างๆบนตัวบอร์ดคุณภาพสูงๆ หรือเป็นแบบ All Solid Capacitor ส่วนใหญ่จะมีราคาตั้งแต่ 3000 บาทขึ้นไป อย่าเลือก Mainboard ระดับล่างหรือราคาประหยัดมาใช้เป็น Server Diskless เลยครับ และอยากให้พิจารณาจำนวนช่องใส่ RAM, PCIe Slot และ SATA3 ว่าเพียงพอกับความต้องการหรือไม่

RAM
เป็นเหมือนคนที่ปิดทองหลังพระ เพราะข้อมูลที่อ่านเขียนบน Server Diskless นั้น จะต้องถูกพักที่ RAM เสมอ หากมีการอ่านข้อมูลเดิมก็จะอ่านที่ RAM เลย หรือถ้าเขียนข้อมูลก็จะเขียนที่ RAM ก่อน ยิ่งระบบมี RAM มากเท่าไหร่ยิ่งลดภาระของ SSD หรือ Harddisk ทำให้รองรับจำนวนเครื่องลูกได้มากขึ้น เมื่อเทียบกับระบบที่สเปคเดียวกันแต่ RAM น้อยกว่า

STORAGE
หรือพื้นที่จัดเก็บข้อมูลนั่นเอง ในระบบ Diskless ที่ผมแนะนำจะเแบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้

1. System + Backup
คือพื้นที่ลง OS Server และใช้พื้นที่ที่เหลือสำรองข้อมูล Image ของระบบ Diskless แนะนำเป็น Harddisk ที่ขนาด 500 GB ขึ้นไป หาก Image มีขนาดใหญ่ก็เลือกเป็น 1 TB, 2 TB ตามความเหมาะสม

2. Image
คือพื้นที่จัดเก็บข้อมูล OS และ Game ของเครื่องลูก ส่วนนี้ต้องมีความเร็วสูง เข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว จะทำให้ระบบ Diskless ของเรา Boot เร็ว เข้าเกมส์เร็ว เปิดโปรแกรมอะไรก็เร็วไปหมด ลูกค้าจะชอบมาก แนะนำ SSD ซึ่งตอบโจทย์เรื่องความเร็วตรงนี้ได้ แต่หากต้องการลงเกมส์เยอะๆ และไม่สามารถซื้อ SSD ขนาดใหญ่ได้ ก็อาจเลือกใช้ SSD เพื่อเก็บ OS และเกมส์ที่นิยมได้ ส่วนเกมส์ที่เหลือก็เก็บใน Harddisk ได้เช่นกัน

3. Swap, Wks Dir, Cow (หลายชื่อจัง)
คือพื้นที่เขียนข้อมูลชั่วคราวของเครื่องลูก ส่วนนี้ทำงานค่อนข้างหนักเพราะนอกจากจะเขียนเกือบตลอดเวลาแล้ว ยังมีการเรียกอ่านอีกด้วย ส่วนนี้ไม่ส่งผลในเรื่องความเร็วต่างๆ แต่มีผลเรื่องความลื่นไหล ในการใช้งาน หากเขียนข้อมูลไม่ทัน หรือไม่เร็วพอ เครื่องลูกจะออกอาการกระตุก และค้างให้เห็น แนะนำ SSD เพราะไม่ต้องใช้พื้นที่มาก และมีความเร็วในการอ่านและเขียนสูงตามที่ต้องการ

LAN
ปัจจุบันต้องเลือกใช้ความเร็วระดับ Gigabit ซึ่งหากใช้ Mainboard คุณภาพสูงๆ Lan Onboard ที่มีมาให้ก็มักจะมีคุณภาพสูงตามไปด้วย แต่หากต้องซื้อ Lan Card เพิ่ม แนะนำให้เลือกแบบ PCIe ส่วนจำนวน Lan ต่อจำนวนเครื่องลูกนั้น ไม่มีกำหนดตายตัว เพราะจะใช้ Lan เยอะก็แค่ตอนเปิดเครื่องพร้อมๆกันเท่านั้น ผมแนะนำ Lan 1 : 20 เครื่องลูก เพราะจะได้ทั้งความคุ้มค่า และการจัดการที่ง่าย เช่น ร้านเน็ตขนาด 60 เครื่อง ใช้ Lan 3 ใบ เข้า Switch 24 Port 3 ตัว ตัวละ 1 ใบพอดี

PSU
Power Supply ก็มีความสำคัญแบบปิดทองหลังพระ เพราะไม่เห็นคุณค่าด้านความเร็ว แต่มีคุณค่าด้านความเสถียรของระบบ การจ่ายไฟที่นิ่ง เป็นผลดีกับอุปกรณ์ในเครื่องทั้งหมด โดยเฉพาะ Storage อย่าเสียดายเงินที่จะลงทุนกับ PSU เลยครับ เพราะหากระบบไฟมีปัญหา ทำให้อุปกรณ์อื่นๆเสีย อาจต้องปิดร้านเสียรายได้มากกว่าราคา PSU ดีๆก็เป็นได้ PSU ที่ดีนั้นมีมาตรฐานรองรับอยู่แล้ว เช่น 80 Plus ต่างๆ ขนาด Watt ไม่ต้องพิจารณามากเท่าไหร่ เพราะ Server Diskless ที่ใช้ SSD กินไฟน้อยอยู่แล้ว 400-500W แบบเต็มก็เอาอยู่ครับ PSU ที่ได้รับมาตรฐานมักมีราคา 2000 บาทขึ้นไป

CASE
เลือกให้มีขนาดใหญ่ซักหน่อย มีพัดลม หรือจุดติดพัดลม แบบ Air Flow คือ ดูดอากาศเย็นเข้า และระบายอากาศร้อนออก เพราะ Server ที่ดีต้องไม่ร้อนครับ จุดที่วางเครื่องควรมีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ควรวางพื้นด้านล่างเพราะจะดูดฝุ่นเข้าเครื่องเยอะกว่า

อุปกรณ์อื่นๆ เช่น Monitor, DVD, Mouse, Keyboard เราใช้แค่ตอนติดตั้ง และเมื่อติดตั้งเสร็จสามารถถอดออกได้ครับ จากนั้นเราจะใช้วิธี Remote เพื่อควบคุมการใช้งานแทน

ค่อนข้างยาวสำหรับการกล่าวถึงรายละเอียดอุปกรณ์ต่างๆใน Server Diskless แต่ผมคิดว่าแทนที่จะบอกให้ใช้นู่น นี่ นั่น ผมอธิบายถึงความสำคัญ สร้างความเข้าใจในการทำงานของอุปกรณ์แต่ละส่วน ท่านผู้อ่านก็จะนำความรู้ไปจัดสเปค Server Diskless ได้ด้วยตนเอง จะเกิดประโยชน์มากกว่าครับ

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การเลือกใช้เน็ตสำหรับร้านเน็ต




"ร้านเน็ตที่ดี เน็ตต้องเร็ว เครื่องต้องแรง" อินเตอร์เน็ตที่เราจะนำมาใช้ในร้านนั้นถือเป็นตัวแปรสำคัญอันดับต้นๆเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าลูกค้าที่มาใช้บริการแล้วถูกใจกับความเร็วที่ร้านแล้วล่ะก็ อาจเป็นลูกค้าประจำกันไปอีกนาน แต่หากมานั่งเล่นแล้วเน็ตช้า เปิดเว็บหน้าไหนก็ช้า อัพรูป แชร์วีดีโอก็ช้า แถมเล่นเกมส์ยัง Lag อีกด้วย แบบนี้แล้วคงไม่กลับมาเล่นที่ร้านเราแน่ๆ

ร้านเน็ตสมัยนี้ต้องมีอินเตอร์เน็ตอย่างน้อย 2 สาย และใช้งานระบบแยกเน็ต-เกมส์ ออกจากกัน เพราะถ้าเราใช้อินเตอร์เพียงสายเดียว เมื่อผู้ใช้งานดาวน์โหลดข้อมูล, เกมส์, แพทช์เกมส์ หรืออัพโหลด รูป วีดีโอต่างๆ จะใช้ Bandwidth เป็นจำนวนมาก เป็นสาเหตุให้ผู้ที่เล่นเกมส์ออนไลน์ ซึ่งต้องติดต่อกับเซิฟเวอร์หลัก หรือผู้เล่นอื่นอยู่ตลอดเวลาเกิดอาการ Lag ได้

การพิจารณาเลือก Internet Packet จะแยกเป็น 2 แบบ คือ

1. การเลือกสายเกมส์

เกมส์ออนไลน์เป็นบริการที่ไม่ได้ใช้ Bandwidth สูงเหมือนการใช้เน็ตทั่วไป แต่ต้องการอินเตอร์เน็ตที่มีค่า Latency น้อยๆ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆคือ Ping ต่ำๆ นั่นเอง (เอ๊ะ ง่ายขึ้นหรือเปล่า) และถ้าเรามีเกมส์ออนไลน์ที่เซิฟต่างประเทศ ต้องเลือกอินเตอร์เน็ตที่มี Bandwidth ออกต่างประเทศดีๆด้วย เช่น CAT, 3BB Premier ซึ่งค่าบริการจะสูงกว่าแพคเก็ตทั่วไป

Download
ค่า Download ในสายเกมส์ออนไลน์นั้นอาจไม่ต้องพิจารณามากนัก เพราะไม่ได้ใช้ Bandwidth มากเท่าไหร่

Upload
ค่า Upload ถือเป็นหัวใจของสายเกมส์เลยก็ว่าได้ เพราะต้องส่งข้อมูลติดต่อเซิฟเวอร์เกมส์อยู่ตลอดเวลา สำหรับร้านขนาดเล็ก (ไม่เกิน 25 เครื่อง) ควรใช้อินเตอร์เน็ตที่มีค่า Upload อย่างน้อย 1 Mbps และถ้าลูกค้าในร้านชอบเล่นเกมส์ DotA, RayCity ซึ่งกิน Bandwidth Upload มากๆ ก็ควรมีค่า Upload 2 Mbps ขึ้น

สำหรับร้านขนาดกลาง (25 - 50 เครื่อง) และร้านขนาดใหญ่ (มากกว่า 50 เครื่อง) ก็ให้เลือกค่า Upload ให้สูงขึ้นตามความเหมาะสม หรือจะใช้สายเกมส์มากกว่า 1 สาย ก็เป็นทางเลือกที่ดี เช่น DotA 1 สาย เกมส์ที่เหลือ 1 สาย



2. การเลือกสายเน็ต

สายเน็ตคือสายที่รองรับบริการทั้งหมด ยกเว้นเล่นเกมส์ ไม่ว่าจะเป็นเปิดเว็บ, แชท, ดูวีดีโอ, โหลดเกมส์, แพทช์เกมส์ เป็นต้น จึงต้องมี Bandwidth ให้เหมาะสมกับจำนวนเครื่องในร้าน

Download
ยิ่งเยอะยิ่งดี ดูจะเป็นคำนิยามสำหรับค่า Download สายเน็ตได้ดีที่สุด เพราะมันรองรับแทบทุกบริการในร้าน และทุกวันนี้แพคเก็ตอินเตอร์เน็ตต่างๆล้วนมีค่า Download ที่สูงมาก เช่น 20, 50, 100, 200 Mbps

สำหรับร้านขนาดเล็ก ควรใช้อินเตอร์เน็ตที่มีค่า Download อย่างน้อย 20 Mbps ขึ้นไป แต่หากต้องการดึงดูดลูกค้า หรือเปิดในพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง ก็จัดเพิ่มไปตามงบประมาณได้เลยครับ เพราะค่า Download นี้ ลูกค้าที่มาใช้บริการเค้ารับรู้ได้นะครับ แค่ดาวน์โหลดไฟล์ใหญ่ซักไฟล์ ก็รู้แล้วครับ ว่าร้านไหนเร็วกว่า และส่วนตัวไม่แนะนำให้ใช้สายเน็ตมากกว่า 1 สาย เพราะโหลดไฟล์เดี่ยวๆ ไม่เร็ว การดูแลมากขึ้น และถ้าหากเป็นคนละ ISP (ผู้ให้บริการ) ก็เกิดปัญหาได้อีก

Upload
หากเป็นสมัยก่อนคงไม่ค่อยสำคัญมากเท่าไหร่ แต่ในสมัยนี้ เป็นยุคของ Social Network ที่ผู้คนนิยมอัพรูป แชร์วีดีโอ ต่างๆมากมาย เราต้องทำร้านของเราให้ตอบโจทย์นี้ให้ได้ เพราะฉะนั้นค่า Upload ที่เลือกใช้ควรจะตามค่า Download ไปด้วย เช่น ถ้า Download 20 Mbps ค่า Upload ควรจะ 2 Mbps ตามไปเรื่อยๆแบบนี้ครับ 20/2 Mbps, 50/5 Mbps, 100/10 Mbps



ข้อดีอีกอย่างของระบบแยกเน็ตเกมส์ คือ เมื่อเราใช้สายเกมส์กับสายเน็ต คนละ ISP กัน เมื่อสายใดสายหนึ่งเสีย ระบบแยกเน็ต-เกมส์ จะใช้สายที่เหลือรับบริการแทน ทำให้ไม่ต้องปิดร้านเสียรายได้

ผมคงไม่เจาะจงลงไปว่าผู้ให้บริการเจ้าไหนดีที่สุด เพราะแต่ละเจ้าก็มีปัญหามากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป บางเจ้าดีมากในพื้นที่หนึ่ง แต่กลับแย่ในอีกพื้นที่ บางเจ้าดี ณ เวลานี้ แต่เวลาต่อมาไม่ดี ท่านคงต้องหาข้อมูลเรื่องการให้บริการ (Feedback) เพิ่มเติม เพื่อศึกษาเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจเลือกทุกครั้ง หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ท่านเลือกอินเตอร์เน็ตได้เหมาะสม และสร้างรายได้ให้กับร้านของท่านนะครับ

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

FastCopy โปรแกรม Backup ขั้นเทพ




จากที่เขียนเรื่อง วิธี Backup Richtech ก็จำเป็นต้องแนะนำโปรแกรมดีๆที่ใช้ Copy ข้อมูลขนาดใหญ่ ได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ เรียกได้ว่าหากข้อมูลใหญ่ๆ เช่น ไฟล์ Image ของระบบ Diskless ความเร็วที่ได้เทียบเท่ากับความเร็วของ Harddisk หรือ SSD ที่ใช้เลยทีเดียว

โปรแกรมนั้นคือ FastCopy โปรแกรมหนึ่งในดวงใจของผม ที่ผมชอบใช้ Backup ข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เล็กๆ จำนวนมาก หรือไฟล์ขนาดใหญ่เป็นร้อย GB มันก็ทำหน้าที่ได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ เรามาดูความสามารถของมันก่อนครับ

คุณสมบัติของ FastCopy

โปรแกรมขนาดเล็ก

ต้องบอกว่าเล็กมากๆ ดาวน์โหลดปุ๊บ เสร็จปั๊บ ถูกใจวัยรุ่นมาก

ติดตั้งง่าย

เป็นโปรแกรมที่ไม่ต้องติดตั้ง โหลดเสร็จ แตกไฟล์ เรียกใช้ได้เลย

ใช้ง่าย

ไม่ต้องตั้งค่าใดๆเลยครับ แต่หากจะใช้ในขั้น Advance ก็อ่านคู่มือครับ

เร็ว

อย่างที่บอกในตอนแรกว่า หากเป็นไฟล์ขนาดใหญ่ ความเร็วที่ได้ก็เทียบเท่าความเร็วของ Harddisk หรือ SSD ที่เราใช้เลยล่ะครับ

นิ่ง

อาจนึกภาพไม่ออกว่าโปรแกรม Copy ข้อมูลมันนิ่งยังไง ลองนึกภาพเรา Backup ข้อมูลเยอะๆแล้วเกิด Antivirus ตรวจพบ Virus มันจะหยุด Copy ทันที หรืออ่านเจอไฟล์ที่อ่านไม่ได้ อาจจะมาจาก Bad Sector หรืออะไรก็ตาม Windows จะหยุด Copy แต่ FastCopy มันไปต่อครับ ไปแบบนิ่งๆเลย

Resume

เมื่อเกิดการหยุด Copy ไม่ว่าสาเหตุจะมาจาก เผลอกด Cancel, ไฟดับ, เครื่อง Sleep หรืออะไรก็แล้วแต่ เมื่อเราสั่ง Copy อีกครั้ง FastCopy จะ Copy ข้อมูลต่อจากเดิมอัตโนมัติ ไม่ต้องเริ่มใหม่หมด

ฟรี

สั้น ง่าย ได้ใจ(ความ)

Official Website

http://ipmsg.org/tools/fastcopy.html.en



วิธีใช้ FastCopy

1. Source

ลากไฟล์ หรือโฟลเดอร์ที่ต้องการมาวางได้เลยครับ

2. DestDir

ลากไดรฟ์ หรือโฟลเดอร์ปลายทางมาวางครับ

3. Execute

กดปุ่ม Execute เพื่อเริ่ม Copy และรอจนเสร็จ จะแสดงคำว่า Finished ทีช่องรายละเอียดด้านล่าง

Tips

หากโฟลเดอร์ หรือไฟล์ที่เราต้องการ Copy อยู่คนละที่กัน เราสามารถ กดปุ่ม Ctrl ค้างไว้ แล้วลากโฟลเดอร์ หรือไฟล์ที่ต้องการเพิ่มเข้าไปใน Source ได้

เพียง 3 ขั้นตอนง่ายๆ ก็สามารถ Copy ข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว และถูกต้องสมบูรณ์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการ Backup ในระบบ Diskless หรือ Backup ข้อมูลประเภทอื่น FastCopy ถือเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง เพราะมันตอบโจทย์ของคำว่า ง่าย เร็ว เสถียร ที่ผมต้องการได้ และจากการใช้งาน FastCopy มานาน และ Copy ข้อมูลหลากหลายประเภท ต้องยอมรับเลยว่าของเค้าดีจริงๆครับ

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิธี Backup Richtech




สิ่งสำคัญในการทำระบบ Diskless สิ่งหนึ่งคือการ Backup หรือการสำรองข้อมูลนั่นเอง เพราะการใช้งานระบบ Diskless นั้น อาจพบปัญหาต้นฉบับเสีย, ติดไวรัส, Harddisk เสีย, Windows เครื่อง Server เสีย เมื่อเรา Backup ต้นฉบับเก็บไว้ ก็สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่ต้องปิดร้านขาดรายได้ หรือเสียลูกค้าได้

ขอยกตัวอย่างจากโปรแกรม Richtech ซึ่งเป็นโปรแกรม Diskless ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มคนทำร้านเน็ต ส่วนการ Backup ระบบ Diskless ในโปรแกรมอื่นๆ จะขอแนะนำในโอกาสต่อไป

วิธี Backup Richtech

1. Stop Richtech Service

ไปที่ Start >> Run พิมพ์ services.msc

คลิกขวาที่ Service ของ Richtech เลือก Stop

* Service Richtech ถ้าไม่ใช้ชื่อ Richtech ก็อาจจะแสดงเป็นเครื่องหมาย ??? ตรวจสอบด้วยการ Double Click ที่ Service นั้น แล้วดูที่ Path to executable ว่ามาจากโฟลเดอร์ Richtech หรือไม่

** เมื่อเรา Stop Richtech Service แล้ว เครื่องลูกในร้านที่ใช้ระบบ Diskless จะไม่สามารถใช้งานได้จนกว่าจะ Start Richtech Service

2. Copy Folder

2.1 Richtech Folder

หากไม่ได้เปลี่ยนตำแหน่งตอนติดตั้ง ก็จะอยู่ที่ C:\Program Files\Richtech

2.2 Image Folder

คือโฟลเดอร์ที่เราเก็บไฟล์ต้นฉบับ นามสกุล .IMG หากไม่ได้เก็บในโฟลเดอร์ ก็ให้ Copy ตัวไฟล์ได้เลย

2.3 Recovery Folder

คือโฟลเดอร์ที่เก็บไฟล์ย้อนกลับ (Restore Point) นามสกุล .REC

Copy ข้อมูลทั้ง 3 โฟลเดอร์นี้ ไปยัง Harddisk ลูกอื่น หรือตำแหน่งที่จะใช้ Backup

3. Start Richtech Service

ไปที่ Start >> Run พิมพ์ services.msc

คลิกขวาที่ Service ของ Richtech เลือก Start

เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการ Backup Richtech สามารถเปิดร้านต่อได้แล้วครับ



เมื่อเราต้องการนำ Image ที่เรา Backup ไว้กลับมาใช้ ก็ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้ครับ

วิธี Restore Richtech

1. Stop Richtech Service

ไปที่ Start >> Run พิมพ์ services.msc

คลิกขวาที่ Service ของ Richtech เลือก Stop

2. Copy Folder

2.1 Richtech Folder

2.2 Image Folder

2.3 Recovery Folder

Copy ข้อมูลทั้ง 3 โฟลเดอร์จาก Harddisk ที่เรา Backup ไว้ กลับไปยังตำแหน่งเดิมของมัน

3. Start Richtech Service

ไปที่ Start >> Run พิมพ์ services.msc

คลิกขวาที่ Service ของ Richtech เลือก Start

หรือหากเป็นการติดตั้ง Windows Server ใหม่ ก็ให้ตั้ง Drive Letter ให้ตรงตามต้นฉบับ แล้ว Install Richtech จากไฟล์ Setup จากนั้นค่อยทำขั้นตอนการ Restore Richtech ครับ

หากเราหมั่น Backup ข้อมูล เมื่อเกิดปัญหาเราก็แก้ไขได้เร็ว ไม่ต้องทำระบบ Diskless ใหม่ทั้งร้าน ส่วนความถี่ในการ Backup ผมแนะนำที่เดือนละครั้ง ก็เหมาะสมแล้วครับ เราเสียเวลาแค่เดือนละ 1 ชั่วโมง (ขึ้นกับขนาด Image) ดีกว่าต้องมาเสียเวลาหลายวัน และเสียรายได้จำนวนมากครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิธีประหยัดค่าไฟร้านเน็ต




ค่าไฟ ถือเป็นรายจ่ายหลักของคนทำร้านเน็ต เพราะอุปกรณ์ในร้านเน็ตล้วนแต่ใช้ไฟฟ้าทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องเซิฟเวอร์ แอร์ พัดลม ตู้แช่เครื่องดื่ม หลอดไฟต่างๆ หากเราละเลยที่จะประหยัดการใช้ไฟฟ้า พอถึงสิ้นเดือนอาจรู้สึกเสียดายเงินก้อนโตที่จ่ายได้นะครับ

ตรงกันข้าม หากเรารู้จักประหยัดไฟทีละเล็กทีละน้อย รวมทุกอย่าง ก็ทำให้เหลือเงินจำนวนไม่น้อยต่อเดือน ผมมีแนวทาง การประหยัดค่าไฟในร้านเน็ต ที่เชื่อว่าทุกคนทำได้ มาแนะนำครับ

แอร์

ขนาดของแอร์ที่ใช้ในร้านเน็ต ต้องมีขนาดที่เหมาะสม เพราะในร้านเน็ตมีเครื่องใช้ไฟฟ้า และคนจำนวนมาก ซึ่งเป็นแหล่งความร้อน หากใช้แอร์ที่มี BTU ต่ำเกินไป แอร์ก็จะไม่ตัดการทำงาน ทำให้เปลืองค่าไฟมากกว่าปกติ

วิธีคำนวณ BTU แอร์ในร้านเน็ต

พื้นที่ (ตารางเมตร) x 800 = ขนาด BTU ที่ควรใช้

ตัวอย่างร้านเน็ต กว้าง 3.8 เมตร ยาว 8 เมตร

(3.8 x 8) x 800 = 24320 BTU

เพราะฉะนั้นแอร์ที่ใช้ควรมีขนาดไม่ต่ำกว่า 24000 BTU

เมื่อเราเลือกขนาดแอร์เป็นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ควรทำเป็นประจำคือ การล้างแอร์ อย่างน้อยก็ปีละ 2 ครั้ง ก็จะทำให้แอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพครับ

จอ

หากเปิดร้านใหม่หรือเปลี่ยนได้ควรใช้จอแบบ LED เพราะกินไฟเพียง 1/3 ของจอ LCD ยิ่งจำนวนเครื่องในร้านเยอะยิ่งเห็นผลครับ

เครื่องคอมพิวเตอร์

เมื่อไม่ได้ใช้งาน หรือลูกค้าเล่นเสร็จแล้ว ควรสั่งปิดเครื่อง หรืออาจตั้งจาก โปรแกรมคุมร้าน ตรงนี้ช่วยประหยัดได้เยอะมากครับ

หลอดไฟ

ร้านเน็ต ถือว่าเป็นสถานที่ที่ใช้แสงสว่างมาก หากเราเปลี่ยนหลอดไฟทั้งร้านเป็นหลอดประหยัดไฟแล้ว นอกจากเรื่องค่าไฟแล้ว ยังช่วยประหยัดเรื่องอายุการใช้งานของหลอดไฟด้วย เพราะหลอดประหยัดไฟมักมีอายุการใช้งานที่นานกว่าหลอดทั่วไปมาก

ตู้แช่เครื่องดื่ม

ก่อนซื้อตู้แช่เครื่องดื่มใดควรตรวจสอบก่อนว่ามีฉลากประหยัดไฟหรือไม่ กินไฟเท่าไหร่ ต้องศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบหลายๆยี่ห้อ เพราะหากเลือกจากราคาอย่างเดียว อาจต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่ามากก็เป็นได้

จะเห็นได้ว่าเรามีแนวทางการประหยัดไฟที่มากมายหลายอย่าง หากเราทำทุกอย่างร่วมกัน ผมเชื่อแน่ๆเลยว่าค่าไฟตอนสิ้นเดือนจะถูกลงกว่าเดิมมาก และนอกจากประหยัดเงินในกระเป๋าแล้ว เรายังได้ชื่อว่า รักษ์โลก ด้วยครับ

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Forward Port DotA บน ClearOS




เมื่อเราใช้ Batch File DotA เพื่อเปลี่ยนพอร์ตที่เครื่องลูกแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การ Forward Port DotA ที่ Router แต่สำหรับร้านเน็ตนั้นเราจะทำที่ Gateway Server ในบทความนี้คือ ClearOS

ปัญหาหนึ่งอย่างของการ Forward Port DotA ด้วย Router คือ เครื่องลูกในร้าน หรือวง Lan เดียวกัน ไม่สามารถเข้าห้องที่สร้างได้ เพราะ Router ส่วนใหญ่ไม่มี IP Loopback หรือ Port Triggering ซึ่งจะมีใน Router บางตัวเท่านั้น แต่ปัญหาเรื่อง IP Loopback และปัญหาจำนวนการ Forward ไม่พอกับจำนวนเครื่องจะหมดไปเมื่อเราใช้ ClearOS ครับ

ขั้นตอนการ Forward Port DotA บน ClearOS

เข้า Webconfig

https://เซิฟเวอร์ของคุณ:81/

ไปที่

Network >> Port Forwarding

ในส่วน

Add a Port Forwarding Rule



กำหนดค่า

Nickname
อะไรก็ได้ ไม่ซ้ำกัน เช่น DotA-001, DotA-002, DotA-003

Protocol
เลือกเป็น TCP

From Port
พอร์ตที่เราตั้งค่าไว้ที่เครื่องลูก (ไม่ซ้ำกัน)

To Port
เหมือน From Port

To IP
IP เครื่องลูก (ไม่ซ้ำกัน)

เมื่อใส่ครบแล้วให้ Add ก็จะได้ 1 เครื่องแล้วครับ

จากนั้นทำซ้ำขั้นตอนเดิมให้ครบจำนวนเครื่องลูกในร้าน

ไม่ยากเลยใช่มั้ยครับกับ การ Forward Port DotA บน ClearOS ใครๆก็ทำได้ และเมื่อเข้าใจหลักการ Forward Port แล้ว ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการ Forward Port แบบอื่นๆได้อีกด้วย เช่น กล้องวงจรปิด (CCTV), โปรแกรมรีโมทต่างๆ

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Client Cache คืออะไร




โปรแกรม Diskless สมัยใหม่ มักมี Option หนึ่งมาให้เราได้ใช้กันอยู่บ่อยๆ นั่นคือ Client Cache ซึ่งทำเอาหลายคนงงไปตามๆกันว่า เจ้า Client Cache นี้มันคืออะไร มีไว้ทำไม และต้องตั้งค่าเท่าไหร่

Client Cache คืออะไร

ขอกล่าวถึงระบบ Diskless ซักหน่อยว่า เมื่อเครื่องลูก (Client) ในระบบ Diskless ต้องการเขียนข้อมูลต่างๆลงเครื่องนั้น จะไปเขียนในพื้นที่ที่เรากำหนดให้บน Server Diskless ซึ่งบางท่านอาจเรียกว่า Swap, Wks Dir, Cow ก็สุดแท้แต่จะเรียก แต่พื้นที่เหล่านี้คือพื้นที่บน SSD, Harddisk ซึ่งมีความเร็วน้อยกว่า RAM ผู้พัฒนาโปรแกรมจึงได้คิดวิธีการนำเอา RAM ของเครื่องลูก มาเป็นที่เขียนข้อมูลอันดับแรก ก่อนจะส่งไปเก็บบนพื้นที่ Server Dsikless โดยตั้งชื่อว่า Client Cache

Client Cache เร็วแค่ไหน

เปรียบเทียบความเร็วโดยประมาณ

Harddisk 7200 RPM = 100 MB/s, Access Time = 15 ms
SSD SATA III = 400 MB/s, Access Time = 0.1 ms
RAM = 2000 MB/s, Access Time= 0 ms

ประโยชน์ของ Client Cache

Client Cache ไม่ได้มีไว้เพื่อความเร็วในการอ่านข้อมูล จึงไม่ช่วยในเรื่องความเร็วของการบูต การเข้าโปรแกรม เข้าเกมส์ต่างๆ แต่หากช่วยลดภาระในการเขียนข้อมูลลง Server Diskless ทำให้การใช้งานระบบ Diskless มีความไหลลื่น ไม่กระตุก และเมื่อลดภาระของพื้นที่เขียนข้อมูล จึงทำให้สามารถรองรับจำนวนเครื่องลูกได้มากกว่าการไม่เปิดใช้ Client Cache ในระบบเดียวกัน อีกประโยชน์คือ ยืดอายุของ SSD จากข้อจำกัดเรื่อง Write Cycle

ต้องตั้งค่าเท่าไหร่

การตั้งค่า Client Cache ถือเป็นศาสตร์และศิลป์ เพราะมากไปก็ไม่ดี เกิด Bluescreen ได้ง่าย น้อยไปก็ไม่เห็นผล มันไม่มีสูตรอะไรตายตัว ขึ้นอยู่กับสเปคเครื่อง และพฤติกรรมของผู้ใช้งานเครื่องลูกเป็นหลัก

ตัวอย่างที่ 1

ร้านหนึ่งมี RAM 2 GB ใช้สูตร RAM/4 ตั้งค่า Client Cache 512 MB ใช้งานได้ แต่อีกร้านเครื่องรุ่นเก่ามี RAM 1 GB ใช้สูตร RAM/4 ตั้งค่า Client Cache 256 MB อันนี้มีปัญหาแน่นอน เพราะ RAM ที่ระบบจอง + Client Cache ก็ใช้ RAM ไปครึ่งหนึ่งของทั้งหมดแล้ว RAM จึงไม่พอใช้กับโปรแกรม หรือเกมส์อื่นๆในเครื่อง ทำให้เกิดปัญหากระตุก ออกเกมส์ช้า

ตัวอย่างที่ 2

2 ร้านมีสเปคเดียวกัน ตั้งค่า Client Cache 512 MB เท่ากัน แต่มีปัญหาเพียงร้านเดียว เพราะผู้ใช้งานร้านนั้นนิยมเปิดหน้าเว็บหลายหน้าพร้อมกัน ทั้งยังเล่นเกมส์ที่ใช้ RAM เยอะ หรือนิยมเปิดเกมส์หลายหน้าจอ ทำให้ RAM ไม่พอใช้งาน

จะเห็นได้ว่าไม่มีสูตรไหนตายตัว เราจึงต้องคอยตรวจสอบดูว่า Client Cache ที่เราตั้งไว้เหมาะสมกับร้านเราหรือยัง หากร้านเราเป็นลูกค้านิยมเกมส์ที่ไม่ใช้ RAM เยอะ และเล่นที่ละ 1 หน้าจอ ก็ตั้งไว้มากหน่อย หากเป็นลูกค้าที่นิยมเปิดโปรแกรมหลายอย่าง เล่นเกมส์พร้อมกันหลายเกมส์ หลายหน้าต่าง ก็ต้องจัดหา RAM ให้เพียงพอ และตั้ง Client Cache ให้เหมาะสม

แต่หากจบบทความแค่ตรงนี้ อาจโดนตำหนิได้ว่า อ่านแล้วก็ไม่รู้อยู่ดีว่าต้องตั้งเท่าไหร่ ผมเลยขอแชร์การตั้งค่า Client Cache ของผมเลยแล้วกัน เวลาที่ผมวางระบบครั้งใดผมจะใช้การตั้งค่า Client Cache แบบนี้ก่อน แล้วค่อยปรับให้เหมาะสมกับพฤติกรรมผู้ใช้งานต่อไป

ตัวอย่างการตั้งค่า Client Cache

Client RAM 512 MB, 1 GB ตั้งค่า Client Cache = 16 MB
Client RAM 1.5 GB, 1.75 GB ตั้งค่า Client Cache = 128 MB
Client RAM 2 GB ตั้งค่า Client Cache = 256 MB
Client RAM 3 GB ตั้งค่า Client Cache = 512 MB

การตั้งค่า Client Cache นี้เกิดมาจากประสบการณ์ของผมเอง คงไม่สามารถบอกให้ทุกท่านเอาไปใช้แล้วจะดีที่สุด แต่อยากให่ท่านนำไปเป็นตัวอย่างและปรับปรุงให้เหมาะสมกับร้านเน็ต หรือระบบของท่าน จะเกิดประโชน์สูงสุดมากกว่าครับ

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

จัดสเปค Game Online




จากบทความ แผนธุรกิจ ร้านเน็ต ผมได้กล่าวตอนหนึ่งว่า "เครื่องคอมพิวเตอร์ที่นำมาให้บริการต้องเร็ว แรง จอใหญ่ อุปกรณ์ครบ" วันนี้จึงถือโอกาสขยายความ ว่าในมุมมองของผม สเปคเครื่องที่ควรนำมาให้บริการในร้านเน็ตนั้นควรมีสเปคอย่างไร

คำว่า ร้านเน็ต ของผมนั่นหมายถึงร้านที่ให้บริการอินเตอร์เน็ตรวมทั้งเกมส์ออนไลน์ด้วย เพราะฉะนั้นเครื่องที่นำมาให้บริการต้องเล่นเกมส์ออนไลน์ได้เป็นอย่างดี สามารถตั้งค่าการแสดงผลได้สูงๆ มีความไหลลื่นทั้งตอนเล่นในเวลาปกติ และเวลาที่มีผู้เล่นในเกมส์สูงกว่าปกติ เช่น เวลากิลด์วอร์ เวลาจัดกิจกรรมต่างๆ

ค่ายไหนดี

intel vs AMD

เรื่อง CPU 2 ค่ายนี้ถือเป็นคู่มวยตลอดกาล ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาเรื่อย ถือว่าเป็นเรื่องดีกับผู้บริโภคอย่างเราที่มีการแข่งขันในตลาด แต่สวนตัวผมเอง ไม่ได้เป็นแฟนคลับของค่ายใดค่ายหนึ่งเป็นพิเศษ หากแต่เวลาจะเลือกซื้อครั้งใดผมจะพิจารณาถึง Mainboard ด้วย เพราะว่าต้องใช้ร่วมกัน ว่า Chipset เก่าใหม่แค่ไหน อายุของ Socket จะได้อีกนานแค่ไหน ไม่ใช่ว่าซื้อได้ปีครึ่งปี แล้วเปลี่ยน Socket ทำให้เกิดปัญหาเคลมสินค้า และหาซื้อสินค้าทดแทนลำบาก จากนั้นผมจะเทียบราคา CPU + Mainboard ของทั้ง 2 ค่ายดูว่า ตัวเลือกไหนมีอนาคต มีความคุ้มค่ามากที่สุดครับ

NVIDIA vs AMD

VGA 2 ค่ายนี้ก็ชกกันมันส์ไม่แพ้คู่ของ CPU ครับ โดยที่ในรุ่นที่มีความแรงเดียวกันนั้น NVIDIA จะมีราคาสูงกว่าทาง AMD แต่ตัว Driver ของทาง AMD มักจะมีปัญหาให้เห็นเป็นระยะๆ ต้องคอยหา Driver มาแก้ไข หากเป็นผู้ที่มีความชำนาญย่อมทำได้อย่างไม่ลำบากนัก ก็แนะนำฝั่ง AMD ครับจะได้ความคุ้มค่าสูงสุด หากเป็นผู้ที่ไม่มีความชำนาญมากนัก ก็แนะนำให้ใช้ฝั่ง NVIDIA ไปครับ จ่ายแพงกว่าหน่อย แต่ก็ไม่ต้องมานั่งแก้ปัญหา Driver

Brand ไหนดี

เรื่อง Brand หรือยี่ห้อของอุปกรณ์ภายในเครื่องนั้นลางเนื้อชอบลางยาครับ ใครใคร่ใช้ตัวไหนก็ใช้เถอะครับ หากยังไม่มีตัวเลือกในใจ ผมขอแนะนำ Brand ที่ผมชอบและเลือกใช้ ตามตัวอย่างการจัดสเปคด้านล่างนะครับ

ตัวอย่างการจัดสเปคเล่นเกมส์ออนไลน์

AMD

CPU: AMD FX-4100
Mainboard: GIGABYTE GA-970A-D3
RAM: DDR3(1333) 4GB. Kingston
VGA: ATi 7750 HIS 1GB DDR5
PSU: 530W. RAIDMAX
Monitor: LED 23" SAMSUNG
Mouse + Keyboard: Microsoft
Headphone: OKER (2699)
Webcam: OKER (177)



intel

CPU: Core i3 - 2100
Mainboard: GIGABYTE GA-B75M-D3V
RAM: DDR3(1333) 4GB. Kingston
VGA: GT640 WinFast 2GB DDR3
PSU: 530W. RAIDMAX
Monitor: LED 23" SAMSUNG
Mouse + Keyboard: Microsoft
Headphone: OKER (2699)
Webcam: OKER (177)

นี่เป็นเพียงตัวอย่างการจัดสเปคเล่นเกมส์ออนไลน์ให้ลื่นไหล ถูกใจลูกค้า สามารถนำไปปรับปรุงให้เหมาะสมกับร้านเน็ตของท่าน เช่น Brand ที่หาซื้อง่าย มีศูนย์รับเคลมสินค้าอยู่ใกล้บ้าน หรือมีอุปกรณ์บางตัวที่ชอบอยู่ในใจแล้ว ก็ปรับเปลี่ยนให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้เลยครับ

หมายเหตุ

จากตัวอย่างการจัดสเปคเล่นเกมส์ออนไล์ของผมได้ใช้ Mainboard Gigabyte ซึ่งผมชอบในความอึดของมัน แม้จะเป็น Mainboard รุ่นที่มีราคาไม่สูงมากก็ตาม แต่มีข้อควรระวังในการซื้อนิดนึง ตรงที่ Mainboard Gigabyte เมื่อมีการเปลี่ยน Rev. ในการผลิต มักมีการเปลี่ยนอุปกรณ์บนบอร์ด เช่น Lan Onboard ซึ่งมีผลโดยตรงกับระบบ Diskless เพราะฉะนั้นต้องระบุ และตรวจสอบให้ดีว่า Mainboard ที่เราสั่งซื้อนั้นมี Rev. เดียวกันหมด

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

DNS สำหรับ ClearOS



DNS แดง !!! เป็นปัญหาพื้นฐานของผู้ที่ใช้ระบบ ClearOS MultiWAN และมีอินเตอร์มากว่า 1 ผู้ให้บริการ เพราะ DNS ที่เราใส่ไปบางค่ายไม่อนุญาตให้ผู้ใช้อินเตอร์ที่ไม่ใช่ของตัวเองเข้ามาใช้บริการ DNS ได้ จึงทำให้ผู้ใช้งานพบอาการ DNS แดง และไม่สามารถเข้าใช้งานอินเตอร์เน็ต

วิธีแก้ปัญหา DNS แดง

สำหรับผมวิธีที่ดีที่สุด คือ การใช้ DNS ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานทั่วไปใช้ได้ ไม่เฉพาะเจาะจงสำหรับลูกค้าตัวเองเท่านั้น ฝรั่งเค้าเรียกว่า Public DNS ซึ่งในปัจจุบันมีผู้บริการหลายราย เช่น

Level3
Google
Securly
Comodo Secure DNS
OpenDNS
DNS Advantage
Norton DNS
ScrubIT
OpenNIC
Public-Root
SmartViper

หากท่านผู้อ่านชอบจะทดสอบ ทดลอง ก็ Search ตามชื่อด้านบนได้เลยครับ แต่ถ้าอยากให้แนะนำ ผมขอแนะนำตัวที่ผมใช้อยู่ และพอใจมากๆนั่นคือ Google Public DNS ซึ่งมี DNS Server ดังนี้

Provider: Google Public DNS
Primary DNS Server: 8.8.8.8
Secondary DNS Server: 8.8.4.4

สำหรับการนำไปใช้งานกับ ClearOS สามารถทำได้ 2 วิธี คือ

1. Webconfig

https://เซิฟเวอร์ของคุณ:81/

ไปที่

Network >> IP Settings

กำหนด

DNS Server #1 8.8.8.8
DNS Server #2 8.8.4.4



2. Command Line

ใช้คำสั่งตามนี้เพื่อแก้ไข

#nano /etc/resolv.conf

แทนที่ข้อความทั้งหมดด้วย

nameserver 8.8.8.8
nameserver 8.8.4.4

กดคีย์บอร์ดตามนี้เพื่อ Save
Ctrl+X
Y
Enter

จากนั้นใช้คำสั่งตามนี้ เพื่ออัพเดท DNS

#service dnsmasq restart

เป็นอันเสร็จขั้นตอนการตั้งค่า DNS ของ Server ClearOS เลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งตามถนัดนะครับ เพียงเท่านี้ Server ClearOS ของท่านจะหมดปัญหา DNS แดง แล้วล่ะครับ ถึงแม้ว่า Google Public DNS จะเป็น DNS ของต่างประเทศ แต่ผมรับประกันเรื่องความเร็ว และความเสถียรจากการใช้งานจริงหลายไซต์ เป็นเวลาแรมปีครับ

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แผนผังระบบเน็ตเวิร์ค ร้านเน็ต


ร้านเน็ต


จากบทความ แผนธุรกิจ ร้านเน็ต คงทราบกันแล้วว่าการจะเปิดร้านเน็ตนั้น ต้องลงทุนอะไรบ้าง แต่ปัญหาคือมันไม่เห็นภาพใช่มั้ยครับ ไม่รู้ว่า Server นั่น นี่ มีไว้ทำไม แล้วต่อกับแบบไหน

วันนี้เอาภาพ แผนผังระบบเน็ตเวิร์ค ร้านเน็ต มาให้ดูครับ ฝรั่งเค้าเรียกว่า Network Diagram และจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆว่ามีอะไรบ้าง ทำหน้าที่อะไร

รายละเอียด Network Diagram ร้านเน็ต 20 เครื่อง ประกอบไปด้วย

Server ClearOS
หน้าที่หลักๆของ Server ตัวนี้คือ เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต, แยกเน็ตเกมส์, Proxy, Firewall ในตัวอย่าง เราใช้อินเตอร์เน็ต 2 สายเพื่อแยกเน็ตเกมส์ ก็จะมี Modem 2 ตัวครับ

Server Diskless
เก็บข้อมูล OS และ Game ของเครื่องลูก ทำให้ง่ายในการจัดการร้านเน็ต

Admin
คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไว้ติดตั้งโปรแกรมคุมร้าน ทำคูปอง สั่งปริ๊นท์ และสแกนงาน

DVR CCTV
เครื่องบันทึกข้อมูลกล้องวงจรปิด เมื่อเชื่อมต่อเน็ตเวิร์คภายในร้าน ทำให้ดูผ่านเน็ต และ Smart Phone ได้

Gigabit Switch
หน้าที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน จำเป็นต้องมีความเร็วระดับ Gigabit เพราะเราใช้ระบบ Diskless

Client 01-20
เครื่องลูกที่ไว้ให้บริการ เมื่อเปิดเครื่องจะดึงข้อมูลผ่าน Server Diskless และเมื่อใช้งานอินเตอร์เน็ตจะวิ่งผ่าน Server ClearOS

มาถึงตรงนี้คงจะพอมองออกแล้วนะครับ ว่าอุปกรณ์ในร้านเน็ตแต่ละตัว มีอะไรบ้าง เชื่อมต่ออย่างไร ทำหน้าที่อะไร

ถึงแม้บางท่านจะไม่ได้วางระบบเอง ก็ควรศึกษาพื้นฐานของ ระบบร้านเน็ต ให้เข้าใจ เพราะเมื่อมีปัญหาเราจะได้วิเคราะห์ได้ว่าปัญหามาจากส่วนใด หากแก้ไขเองได้ก็ดี หรือติดต่อผู้วางระบบจะได้คุยกันได้เข้าใจ และแก้ไขได้เร็วยิ่งขึ้นครับ

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แผนธุรกิจ ร้านเน็ต


"ร้านเน็ตเหรอ หมดยุคขุดทองแล้ว"
"คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า"
"สมัยนี้ใครเค้าก็มีคอมพิวเตอร์หมดแล้ว จะมาเล่นที่ร้านเน็ตทำไม"

ผมมักได้เห็นข้อความเหล่านี้บ่อยๆ เมื่อมีผู้สนใจอยากเปิดร้านเน็ต และนึกค้านทุกครั้งไป

ทำไมผมถึงไม่เห็นด้วยครับ เพราะการเปิดร้านเน็ตมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ได้ยินเสมอไป มันก็เหมือนทุกธุรกิจที่มีหลายคนทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ แล้วก็มีหลายคนเจ๊งนั่นแหล่ะครับ

ในการจะทำร้านเน็ต หรือธุรกิจอะไรก็ตาม เราต้องมีความรู้ในธุรกิจนั้นๆ เมื่อมีความรู้แล้วเราก็มาเขียนแผนธุรกิจ ว่ามีรายรับ รายจ่ายอะไรบ้าง คืนทุนเมื่อไหร่ ลงทุนใหม่เมื่อไหร่ เหมือนเราทำแนวทางให้ธุรกิจเราเดินไป ไม่ใช่ทำไปวันๆ เดินไปทางไหนก็ไม่รู้

แล้วจะหาความรู้ได้ที่ไหนล่ะ

ที่นี่ไงครับ ที่นี่ผมจะแชร์ประสบการณ์ ในการทำร้านเน็ตให้ทราบกันว่าทำอย่างไร ถึงจะอยู่รอด ถึงจะสร้างกำไรได้ ไม่ต้องขาดทุนและปิดกิจการเหมือนคนอื่น

ผมขอแบ่งขนาดร้านเน็ตเป็น 3 ขนาดนะครับ

1. ร้านขนาดเล็ก 15-20 เครื่อง
2. ร้านขนาดกลาง 21-50 เครื่อง
3. ร้านขนาดใหญ่ 51 เครื่องขึ้นไป

เอ ทำไมขนาดเล็ก เริ่มที่ 15 เครื่องล่ะ 10 ไม่ได้เหรอ 7 ไม่ได้เหรอ

ได้ครับ หากท่านต้องการทำเอามันส์ ทำตามกระแส ทำเป็นแฟชั่น

ยิ่งเครื่องน้อย ยิ่งไม่คุ้มค่าดำเนินการ ไหนจะค่าเช่าร้าน ค่าเน็ต ค่าพนักงาน ค่าทำระบบ ไม่คุ้มด้วยประการทั้งปวง หากไม่พร้อมด้านการเงิน ก็รอให้พร้อมก่อนดีกว่าครับ เก็บเงินเพิ่มรอวันที่เรามีความพร้อมมากกว่านี้ดีกว่าครับ

ตัวอย่างการคำนวณเงินลงทุนร้าน 20 เครื่อง เปิด 24 ชั่วโมง

ค่าใช้จ่ายเปิดร้าน

1. เครื่องลูก เครื่องละ 15000 บาท (21 เครื่อง รวมเครื่องคุมร้าน) = 315000 บาท
2. เครื่อง Server Diskless = 30000 บาท
3. เครื่อง Server ClearOS = 10000 บาท
4. อุปกรณ์ Network, Internet และระบบไฟ = 20000 บาท
5. โต๊ะ เก้าอี้ ชุดละ 3000 (21 ชุด) = 63000 บาท
6. Windows License ชุดละ 2300 (21 ชุด) = 48300 บาท
7. แอร์ 24000 BTU = 30000 บาท
8. All in One Printer = 5000 บาท
9. ค่าตกแต่งร้าน (ทาสี, กระจก, สติ๊กเกอร์, ป้าย) = 30000 บาท
10. กล้องวงจรปิด = 20000 บาท
11. ค่าวางระบบ (หากทำเองไม่ได้) = 30000 บาท

รวมเงินลงทุน 601300 บาท



ค่าใช้จ่ายรายเดือน

1. ค่าไฟ 15000 บาท
2. ค่าอินเตอร์เน็ต 4000 บาท
3. ค่าพนักงาน 1 คน 9000 บาท
4. ค่าเช่าร้าน 10000 บาท

รวมจ่ายรายเดือน 38000 บาท



รายรับต่อเดือน (คิดที่ชั่วโมงละ 15 บาท)

เครื่องละ 15*24 = 360 บาท/วัน

แต่ความเป็นจริงไม่ได้มีลูกค้าเล่นตลอดเวลา เราคิดแค่ครึ่งเดียวครับ = 180 บาท/เครื่อง/วัน

20 เครื่อง = 3600/วัน = 108000/เดือน

รวมรายได้ต่อเดือน 108000 บาท



เท่ากับเหลือรายได้เดือนละ 108000 - 38000 = 70000 บาท 9 เดือนก็คืนทุนแล้ว

และจากบทความ การเพิ่มรายได้ร้านเน็ต ท่านสามารถมีรายได้เสริมอย่างน้อยเดือนละ 10000 บาท

แล้วถามว่าทำไมบางคนถึงทำแล้วไม่รุ่ง อยู่แบบพอกินบ้าง เจ๊งบ้าง เพราะเค้าไม่มีความต่างไงครับ

การสร้างความแตกต่าง

- เครื่องคอมพิวเตอร์ที่นำมาให้บริการต้องเร็ว แรง จอใหญ่ อุปกรณ์ครบ กล้องชัด เสียงดี ให้มันเกิดความต่างกับร้านอื่น หรือดีกว่าเล่นที่บ้าน จำไว้เลยครับว่าแค่เล่นได้ มันต่างกับเล่นดี

- อินเตอร์เน็ตต้องคุณภาพสูง Download Upload ทั้งในและต่างประทศลื่นไหล ถ้าเอาความเร็วที่ใช้ตามบ้านมาเปิดร้านเน็ต แถมแชร์กันด้วยแล้ว จะดึงดูดลูกค้าได้อย่างไร

- พนักงานเราจ้างแพงก็ต้องเลือกให้สมกับค่าตัวด้วย พูดจาดี มีความรู้ ความรับผิดชอบ ตั้งใจทำงาน ดูแลลูกค้า เลิกคิดว่าจ้างเค้ามาเล่นเน็ต แล้วจ่ายถูกๆเสียที

- เลือกที่เปิด เห็นหลายร้านชอบไปเปิดใกล้ๆกัน แล้วอยากร้องไห้ มีแต่จะพากันตาย คนที่เปิดที่หลังมีโอกาสเลือกที่ที่ไม่มีคู่แข่งมากมาย กลับไม่คิด ร้านเน็ตที่ดีต้องไม่มีคู่แข่ง และมีที่จอดรถครับ ท่องไว้ ลูกค้าส่วนใหญ่ขี่มอเตอร์ไซค์ไกลหน่อยไม่มีปัญหา ขอร้านเจ๋งก็ไปเล่นได้

- แอร์ อย่างกเรื่องแอร์เลยครับ คุณแม่ขอร้อง เคยถามเจ้าของร้านคนนึงว่าทำไมไม่เปิดแอร์ เค้าตอบว่า "กลางวันร้อน เปิดแล้วเปลืองไฟ" ตรรกะเทพมากเลยครับ ปัจจุบันลูกค้าหนีไปเล่นร้านที่เปิดแอร์หมดแล้ว ทีนี้ประหยัดไฟสมใจแล้ว เครื่องก็ไม่ต้องเปิด -*-

ยิ่งเรากล้าที่จะต่าง กล้าที่จะลงทุน เราก็สามารถอยู่รอดได้ในธุรกิจนี้แล้วครับ แต่ความกล้าต้องมาจากความรู้ที่มี วิสัยทัศน์ที่เห็นได้รอบด้านนะครับ

ท้ายนี้หลายท่านคงได้แรงบันดาลใจไปไม่มากก็น้อย หลายท่านนึกแย้งเรื่องตัวเลขที่ผมยกมา ก็ขอออกตัวแรงๆไว้ตรงนี้เลยว่า เป็นตัวเลขโดยประมาณ และเขียนจากประสบการณ์ของตัวเอง ซึ่งอาจไม่เหมือนและไม่ตรงกับประสบการณ์ของท่านนะครับ หากมีข้อความใดที่อ่านแล้วไม่สบายใจ ต้องขออภัยไว้นะที่นี้ด้วยครับ

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การขอใบอนุญาตร้านเน็ต


เป็นคำถามที่ฮิตมากสำหรับผู้ที่สนใจเปิดร้านเน็ต เพราะทุกคนก็อยากทำธุรกิจแบบถูกกฏหมายด้วยกันทั้งนั้น วันนี้เราจะได้รู้เสียทีว่า การเปิดร้านเน็ตนั้น ต้องใช้ใบอนุญาตอะไรบ้าง ต้องทำยังไง ขอที่ไหน ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่

ใบอนุญาตมี 2 ใบ คือ

1. ใบทะเบียนพาณิชย์

สถานที่จดทะเบียน

1. กรุงเทพมหานคร สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสำนักงานเขตทุกแห่งรับจดทะเบียนพาณิชยกิจของผู้ประกอบพาณิชยกิจ ที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในเขตท้องที่นั้น

2. เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล หรือเมืองพัทยา รับจดทะเบียนพาณิชย์ของผู้ประกอบพาณิชยกิจที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในท้องที่จังหวัดนั้น หรือเมืองพัทยาแล้วแต่กรณี
หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร. 0-2547-4446-7

เอกสารที่ใช้

1. คำขอจดทะเบียนพาณิชย์ (แบบ ทพ.)
2. สำเนาบัตรประชาชน
3. สำเนาทะเบียนบ้าน
4. กรณีไม่ได้เป็นเจ้าบ้าน แนบเอกสารเพิ่มดังนี้
4.1 หนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่จากเจ้าบ้าน
4.2 สำเนาทะเบียนบ้านเจ้าบ้าน หรือสำเนาสัญญาเช่า
4.3 แผนที่
5. หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
6. สำเนาบัตรประชาชนผู้รับมอบอำนาจ (ถ้ามี)

ค่าธรรมเนียม

50 บาท

ดาวน์โหลดคู่มือ

http://www.dbd.go.th/mainsite/fileadmin/downloads/01_tp/text_people.pdf



2. ใบอนุญาตประกอบกิจการให้ฉายหรือบริการซึ่งเทปหรือวัสดุโทรทัศน์

สถานที่ขอใบอนุญาต

สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด

เอกสารที่ใช้

1. สำเนาบัตรประชาชน
2. รูปถ่าย
3. สำเนาใบทะเบียนพาณิชย์
4. แผนที่
5. แผนผังภายในร้าน

ค่าธรรมเนียม

1-20 เครื่อง 1000 บาท
21-50 เครื่อง 2000 บาท
51 เครื่องขึ้นไป 3000 บาท

ดาวน์โหลดคู่มือ

http://www.culture.go.th/subculture10/images/stories/content/1_2_game_2.pdf

ไม่ยากเลยใช่มั้ยครับ ผมขอให้ศึกษากฏระเบียบต่างๆและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ก็สามารถประกอบกิจการร้านเน็ตที่ถูกกฏหมายได้แล้ว หวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางให้ท่านผู้สนใจในกิจการร้านเน็ตได้ประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องและสบายใจนะครับ

Batch File DotA


ปัญหาหนึ่งของร้านเน็ตที่ทำระบบ Diskless คือ การตั้งค่า Port DotA เพราะทุกเครื่องที่ใช้ Image เดียวกัน ก็จะใช้ Port เดียวกัน ทำให้ไม่สามารถ Create Room ได้

แต่เราสามารถใช้ Batch File เปลี่ยน Port ให้ทุกเครื่องมี Port ที่ไม่ซ้ำกันได้ โดย Batch File นี้จะต้อง Run ทุกครั้งที่เปิดเครื่อง

มาดูโฉมหน้า Batch File DotA กันก่อนครับ

@echo off
:: Change DotA Port
for /f "tokens=16 delims=." %%i in ('ipconfig ^|find "IP Address"') do set ip=%%i 
set /a all=6000+%ip%
reg add "hkcu\Software\Blizzard Entertainment\Warcraft III\Gameplay" /v "netgameport" /t reg_dword /d "%all%" /f


ทีนี้เรามาดูทีละส่วนว่ามีความหมายยัง จะได้นำไปปรับใช้ให้เหมาะกับร้านเน็ตของท่าน หรือประยุกต์ใช้กับงานต่างๆตามต้องการได้

@echo off
เป็นคำสั่งไม่ให้แสดงการทำงาน

:: Change DotA Port
เป็นการหมายเหตุ ให้รู้ว่าเป็น Script อะไร กันลืม ไม่มีผลในคำสั่ง

for /f "tokens=16 delims=." %%i in ('ipconfig ^|find "IP Address"') do set ip=%%i
เช็ค IP Address เครื่อง และตัดเอาเฉพาะหลักสุดท้าย เช่น เครื่องมี IP Address 192.168.1.101 ก็จะได้ผลลัพธ์เป็น 101 และให้เป็นตัวแปรชื่อ ip

set /a all=6000+%ip%
กำหนดให้ตัวแปร all = 6000 + ตัวแปรชื่อ ip จากตัวอย่าง all = 6000 + 101 = 6101

reg add "hkcu\Software\Blizzard Entertainment\Warcraft III\Gameplay" /v "netgameport" /t reg_dword /d "%all%" /f
ทำการเปลี่ยน Port DotA ด้วยการ Add Registry จากตัวแปร all ในที่นี้เท่ากับ Port 6101

เพราะฉะนั้นในเมื่อทุกเครื่องในร้านเรามี IP Address ไม่ซ้ำกัน จึงทำให้ Port DotA แต่ละเครื่องไม่ซ้ำกัน

ตัวอย่าง
เครื่อง 1 มี IP Address 192.168.1.101 ก็จะมี Port DotA เป็น 6101
เครื่อง 2 มี IP Address 192.168.1.102 ก็จะมี Port DotA เป็น 6102
เครื่อง 3 มี IP Address 192.168.1.103 ก็จะมี Port DotA เป็น 6103

ถือเป็น Batch File ที่มีประโยชน์ และสะดวกกับรัานเน็ตระบบ Diskless มากๆเลยครับ เพราะแค่คำสั่งไม่กี่บรรทัดก็ทำให้เครื่องในร้านทั้งหมดมี Port DotA ที่ไม่ซ้ำกันแล้วครับ

แนะนำโปรแกรมร้านเน็ต


สำหรับคนทำร้านเน็ตแล้วนั้น ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่ก็อยากทำให้มันถูกต้อง แต่บางครั้งก็ไม่ทราบว่ามีโปรแกรมดีๆ อะไรบ้าง ที่สามารถติดตั้งใช้งานได้ ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ และเพิ่มศักยภาพให้ร้านเน็ตของเราได้

ผมคงไม่สามารถยกโปรแกรมประเภท Freeware หรือ Open Source ทั้งหมดมาบอกได้ แต่ผมขอแนะนำโปรแกรมที่ผมรู้จัก และได้ทดลองใช้งานแล้วว่าง่าย ดี มีคุณภาพ กับร้านเน็ตนะครับ

ขอแบ่งเป็นกลุ่มดังนี้

โปรแกรมประเภท Office

OpenOffice ใช้ทำงานเอกสารต่างๆ
Adobe Reader ใช้อ่านไฟล์ .pdf
PDFCreator ใช้แปลงไฟล์เอกสารเป็น .pdf

โปรแกรมประเภท Photo

Photoscape ใช้แต่งรูป

โปรแกรมประเภท Browser และ Plugin

Google Chrome ใช้เปิดเว็บ
Firefox ใช้เปิดเว็บ
Java Runtime Environment ทำให้ Browser เปิดเว็บที่ใช้ Java ได้
Flash Player ปกติจะ Popup ให้ติดตั้งและอัพเดทอัตโนมัติ แต่ถ้าไปปิดอัพเดท Flash Player ไว้ ก็เปิดด้วยนะครับ จะได้ไม่มีปัญหากับเว็บที่ใช้ Flash

โปรแกรมประเภท Multimedia

K-Lite Codec Pack ใช้เล่นไฟล์ Multimedia

โปรแกรมประเภท Chat

Windows Live Messenger หรือ MSN นั่นเอง
Skype ใช้สนทนาแบบ Video และโทรศัพท์ได้
Yahoo! Messenger ใช้กับบัญชีของ Yahoo
Camfrog ^^
TeamSpeak ใช้คุยแบบทีม นิยมใช้กับเกมส์ออนไลน์
Google Talk อีก 1 บริการจาก Google

โปรแกรมอื่นๆ

7-Zip ใช้บีบและคลายไฟล์
CCleaner ใช้ลบไฟล์และ Registry ที่ไม่ใช้งาน
DirectX 9.0c (Jun 10) ใช้ในการเล่นเกมส์ลงได้ทั้ง Windows Xp และ Windows 7
Microsoft Visual C++ 2008 ใช้ในการ Run โปรแกรมและเกมส์หลายเกมส์ โดยส่วนใหญ่จะมาพร้อมตัว Setup ของโปรแกรมหรือเกมส์นั้นๆ แต่ถ้าหากเราใช้ระบบ Lan Disk ก็ติดตั้งเองได้ครับ
PhysX เกมส์บางเกมส์ต้องการ PhysX ถ้าเราใช้ VGA ของ NVIDIA ก็จะถูกติดตั้งเองตอนลง Driver หากใช้ VGA ของ AMD ก็ลงเพิ่มเองได้ครับ

โปรแกรมประเภท Antivirus

Avast! Free Antivirus ตัวนี้ผมจะไม่ลงที่เครื่องลูกในระบบ Diskless เพราะมี Restore อยู่แล้ว แต่จะลงใน Server Diskless และเครื่องคุมร้าน ด้วยความสามารถอัพเดทตัวเอง และป้องกันไวรัสแบบอัตโนมัติทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลยครับ

ผมคิดว่าบทความนี้คงช่วยให้ท่านมีตัวเลือกในการทำร้านเน็ตให้ถูกต้อง โปรแกรมที่ผมแนะนำมานั้นสามารถหาแหล่งข้อมูลในการ Download และใช้งานได้ไม่ยาก ขอให้มีความสุขกับการบริหารร้านเน็ตนะครับ

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การเตรียม Windows XP ก่อนอัพ Image


วันนี้เอาเทคนิคส่วนตัวมาแชร์ครับ ว่าก่อนอัพ Image ขึ้น Server Diskless นั้นผมปรับแต่งอะไรบ้าง วิธีที่ผมใช้นั้นมาจากการอ่านคู่มือของโปรแกรม Diskless หลายๆตัว และนำมาทดสอบ ทดลองใช้ จนได้ขั้นตอนง่ายๆ ที่ใช้ได้ผลจริง ในแบบที่ท่านก็ทำเองได้ครับ

แผ่น Windows XP
แนะนำว่าควรใช้แผ่น Original ครับ ดีที่สุด ไม่ถูก Modify ใดๆเลย ทำให้ลดปัญหาในการใช้งานได้อย่างมาก ถามว่าจะหาจากไหนล่ะ ซื้อครับ !!! ตอบแบบไม่กวนนะครับ ซื้อแล้วสบายใจไปตลอด ไม่นานก็คืนทุนแล้ว สำหรับร้านเน็ต ถ้าซื้อในโครงการ Get it Right ราคาจะถูกกว่าปกติ อีกทั้งยังได้ Key ในการใช้ Windows เวอร์ชันอื่นๆด้วย เช่น Windows 7, Windows XP ทั้ง 32 Bit และ 64 Bit

Driver Download
Driver เวอร์ชันใหม่มักแก้ปัญหาของเวอร์ชันเก่าๆ อีกทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานอุปกรณ์ด้วยครับ ควรเข้าไป Download Driver ตัวล่าสุดจากเว็บไซต์ของ Mainboard, VGA ที่ท่านใช้มาติดตั้งครับ การติดตั้งนั้น หากเป็นสเปคเดียวกันทั้งร้านจะติดตั้งผ่านตัว Setup ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากเป็น 1 Image หลายสเปค แนะนำว่าควรลง Driver แบบ Manual ทาง Device Manager จะดีกว่า เพื่อป้องกันโปรแกรม Utility ต่างๆที่มากับ Driver ถูกเรียกใช้ในสเปคอื่นๆครับ

Windows Update
ขาดไม่ได้เลยครับ ต้องอัพเดท Windows ให้ล่าสุดเพื่อแก้ Bug ปิดช่องโหว่ รูรั่วต่างๆ ลดการติด Virus, Worm ได้อย่างดีเชียวครับ

Uninstall QoS Packet Scheduler
โปรแกรม Diskless หลายๆตัว แนะนำให้ Uninstall QoS Packet Scheduler ออกครับ อาจเป็นเพราะเมื่อต้องรับส่งข้อมูลผ่าน Lan จะต้องผ่านเจ้าตัว QoS นี่ก่อนเพื่อตรวจสอบบริการและจอง Bandwidth ซึ่งไม่เป็นผลดีเท่าไหร่กับโปรแกรม Diskless ครับ

ปิด Service
มี Service บางตัวที่ควรปิดเมื่อทำระบบ Diskless นะครับ มาดูกันครับว่าผมปิดตัวไหนบ้าง

1. Windows Firewall
เพราะเราให้บริการเกมส์ออนไลน์ แชท โปรแกรมที่ใช้อินเตอร์เน็ตต่าง หากเปิดไว้ก็จะคอยขึ้น Popup ให้รำคาญอยู่ร่ำไป และที่สำคัญถ้าเปิดไว้ก็จะไม่สามารถอัพ Image Windows ขึ้น Server Diskless ได้ อย่างที่หลายๆท่านเจอปัญหาเครื่องลูกไม่เห็นเครื่องแม่ทำนองนี้

2. Auto Update
จากที่เราทำ Windows Update ไปแล้ว จึงมั่นใจได้ว่า Windows ของเราสด ใหม่ ปลอดภัย เพราะฉะนั้นปิดไปเลยครับ เพราะหากเปิดไว้แล้วมันอัพเดทเอง ก็ใช้ Bandwidth อินเตอร์เน็ตของเรา แถมปิดเครื่องเปิดใหม่ข้อมูลก็ไม่ได้อัพเดท เพราะเราทำ Diskless เอาไว้เรามีเวลาค่อย Super User อัพเดทเองซักเดือนละครั้งก็ OK แล้วครับ

3. System Restore
ระบบ Diskless สามารถ Restore ได้เองทุกครั้งที่เปิดเครื่องอยู่แล้วครับ

4. Terminal + Wireless Zero Config
2 Service นี้มีผลทำให้เครื่องที่ใช้ Mainboard Asrock หลายรุ่น มีปัญหาบูต Windows ช้ามาก และระบบ Diskless ก็ไม่ได้ใช้ Service นี้ ก็ปิดไปดีกว่า

นี่แหล่ะครับการปรับแต่งหลักๆที่ผมใช้มาตลอด ซึ่งจริงๆแล้วมันมีการปรับแต่งอะไรที่มากกว่านี้เยอะ ซึ่งผมเองก็ลองมาหลายวิธี บางวิธีเร็วขึ้นกับสเปคนึง พอไปทำสเปคอื่นกลับไม่เร็ว บางวิธีเร็วขึ้น แต่มีปัญหาในการใช้งาน ผมจึงเลือกที่จะปรับแต่งจุดสำคัญๆ เพื่อให้ใช้งานได้ทุกรูปแบบ มีความราบรื่น เสถียร ไม่มีปัญหาจุกจิก กวนใจครับ

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การเพิ่มรายได้ร้านเน็ต


ใครๆก็อยากมีรายได้เพิ่มขึ้นใช่มั้ยครับ วันนี้เรามาชี้ช่องทางรวยกัน (ไม่ใช่หวยนะครับ) ไม่ต้องมองไปไหนไกลเลยครับ มองที่ ร้านเน็ต เรานี่แหล่ะว่าจะมีวิธีเพิ่มรายได้ทางไหนบ้าง

ในมุมมองของผม ขอแบ่งรายได้เป็น 2 ส่วน คือ รายได้หลัก และรายได้เสริม เรามาดูกันครับ ว่าจะเพิ่มรายได้ทั้ง 2 ทาง นี้ได้อย่างไร

1. รายได้หลัก
คือ รายได้ที่มาจากค่าชั่วโมง หรือค่าคูปองนั่นเอง การที่จะเพิ่มรายได้ในส่วนนี้ต้องดึงให้ลูกค้าเข้าร้านมากขึ้น และรักษาลูกค้าให้อยู่กับเราได้ตลอดไป ฟังดูเหมือนง่ายครับ แต่จริงๆแล้วมันมีปัจจัยหลายอย่างที่จะต้องดูแล ลองดูครับว่าเราสามารถปรับปรุงตรงจุดไหนได้บ้าง

1.1 ทำเล
หลายคนร้องเฮ้ย "เปิดร้านแล้วจะให้ย้ายหรือยังไง" ไม่ต้องถึงกับย้ายร้านหรอกครับ ทำร้านให้ดูน่าเข้าใช้บริการ มีที่จอดรถ อาจจะหมั่นขยับรถของลูกเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับลูกค้าอื่นๆ อะไรที่มันบังหน้าร้าน ไม่น่าดู ก็จัดการเสีย ป้ายหน้าร้านก็สำคัญทั้งป้ายด้านหน้า และป้ายด้านข้าง ทำให้คนผ่านไปผ่านมาเห็นได้ง่าย

1.2 ราคา
นอกจากราคารายชั่วโมงแล้ว ควรทำโปรโมชั่น ซื้อเยอะยิ่งถูก เช่น ชั่วโมงละ 15 บาท / 3 ชั่วโมง 40 บาท / 10 ชั่วโมง 100 บาท เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าอยู่กับเราได้นาน ยิ่งทำคูปองที่สามารถเก็บไว้ใช้ในวันอื่นๆได้ยิ่งดีครับ

1.3 คุณภาพ
ในที่นี้ผมหมายถึง คุณภาพของอินเตอร์เน็ต และเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นหลักครับ คงไม่ดีแน่ถ้าเล่นร้านเน็ต แล้วช้ากว่าเล่นที่บ้าน ส่วนความเร็ว และสเปคเครื่อง ผมขอเขียนในโอกาสต่อไป เพราะรายละเอียดเยอะพอสมควร

1.4 ความสะอาด
หลายคนมองข้ามตรงนี้ แต่ผมบอกได้เลยครับว่าจุดนี้สำคัญมาก เพราะถ้าลูกค้าที่เค้ารับไม่ได้กับความสกปรกของร้าน เค้าจะไม่มาอีกเลย เพราะฉะนั้นต้องหมั่นดูแลร้านให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา ผมขอชี้จุดที่ควรระวัง เช่น

1.4.1 เม้าส์ คีย์บอร์ด เพราะลูกค้าต้องสัมผัสโดยตรง
1.4.2 หน้าจอ เด็กๆชอบจิ้มกันไว้เป็นลายแทง
1.4.3 เศษขนมบนโต๊ะ
1.4.4 ห้องน้ำ อันนี้สำคัญมากต้องหมั่นดูบ่อยๆครับ ควรติดป้ายให้ช่วยรักษาความสะอาดไว้ด้วย

1.5 อัธยาศัย
จุดนี้เป็นเรื่องสำคัญของการรักษาลูกค้า ถ้าลูกค้าถูกใจเจ้าของร้าน หรือผู้ดูแลร้านแล้วล่ะก็ ต่อให้มีร้านใหม่มาเปิดเค้าก็ไม่ไป เชื่อขนมกินได้เลย

1.6 โปรแกรมและเกมส์
ต้องหมั่นอัพเดทนะครับ โปรแกรมแชทต่างๆที่นิยม ก็ลงไว้ให้ลูกค้าด้วย เกมส์ต้องอัพแพทช์ทุกวัน เกมส์ยิ่งเยอะยิ่งรองรับลูกค้าได้หลายกลุ่ม เกมส์ใหม่มาให้รีบลง เราทำมากเท่าไหร่ เรายิ่งได้มากเท่านั้นครับ


แค่รายได้หลักก็เขียนซะเยอะแล้ว จะเบื่ออ่านกันมั้ยครับ ถ้าไม่เบื่อ ไปต่อกันที่รายได้เสริมครับ

2. รายได้เสริม
คือ รายได้ที่มาจากความต้องการอื่นๆของลูกค้า สินค้า บริการที่เราสามารถเสนอให้ลูกค้าที่มาเล่นเน็ตร้านเราได้ พยายามคิดให้มันเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า ไม่ใช่ขายเครื่องประดับ ขายเสื้อผ้าในร้านเน็ต นะครับ ลองดูตัวอย่างสินค้า และบริการที่ผมคิดว่าเหมาะสมกัน

2.1 เครื่องดื่ม
แน่นอนที่สุด นั่งเล่นเป็นชั่วโมง ใครไม่กระหายน้ำบ้าง จัดไปเลยครับ น้ำอัดลม น้ำชาเขียว น้ำผลไม้ กาแฟ แต่ห้ามเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์

2.2 ของรองท้อง
ขนมซอง ขนมปัง บะหมี่สำเร็จรูป อย่าให้ขาด กองทัพต้องเดินด้วยท้องครับ

2.3 รับปริ๊นงาน สแกนงาน
เดี๋ยวนี้ปริ๊นเตอร์ราคาถูกลงเยอะ แถมมีหมึกแท๊งค์อีก ทั้งรายงาน ทั้งรูปดารา อีเมล์ คอร์ดเพลง ลูกค้าชอบปริ๊นมากๆ แถมบางรุ่นเป็น All in One สแกนและถ่ายเอกสารได้ด้วย

2.4 ขายบัตรเติมเงิน
ขาดไม่ได้จริงๆครับ เพราะเกมส์ออนไลน์ในไทย อยู่ได้ด้วยบัตรเติมเงิน เรามีไว้ขายได้ทั้งกำไร ได้ทั้งบริการลูกค้า

2.5 หน้าร้านสร้างรายได้
หากเป็นเจ้าของอาคารและมีพื้นที่หน้าร้านเหลือเอามาสร้างรายได้ครับ จะเป็นติดตั้งตู้ ATM ก็ได้รายได้ไม่น้อย ติดต่อธนาคารได้เลยครับ หรือจะตู้เติมเงินโทรศัพท์ก็ไม่เลว หรือแบ่งเช่าให้ร้านลูกชิ้น ร้านของกินที่ไม่ได้ขายในร้านก็ยังได้ แต่ต้องไม่เกะกะหรือขวางทางจนเกินไป

และที่ลืมไม่ได้เลย เมื่อเรามีสินค้าและบริการแล้ว เราต้องนำเสนอให้ลูกค้าทราบ อาจจะตั้งสินค้าในจุดที่เห็นได้ชัด ติดป้ายประกาศรับบริการต่างๆ หรือแนะนำด้วยคำพูดก็ไม่เสียหายครับ

นี่เป็นเพียงแค่ไอเดียส่วนหนึ่งใน การเพิ่มรายได้ร้านเน็ต ที่ผมคิดว่าทุกคนสามารถทำได้ แต่ยังมีอีกหลายแนวทางที่เอาไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับทักษะ และร้านเน็ตของท่านครับ

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Batch File Copy Folder


ปัจจุบันเริ่มมีบางเกมส์เก็บค่าคอนฟิกของตัวเกมส์ไว้ใน Folder ในไดรฟ์ C:\ ซึ่งหากเป็นระบบ Diskless และอัพเดทด้วยวิธี Super User คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นร้านเน็ตที่ใช้ระบบ Lan Disk ที่แชร์เพียงไดรฟ์ D:\ ย่อมไม่สามารถอ่านค่าจาก Folder นั้นได้

แต่เราสามารถเขียน Batch File Copy Folder ที่ต้องการได้ครับ โดยประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ

1. Server
เมื่อเราอัพเดทเกมส์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้เราเรียก Batch File เพื่อ Copy Folder ที่ต้องการไปไว้ในไดรฟ์ที่เรา Share หรือทำ Lan Disk

2. Client
เมื่อเครื่องลูกเปิดขึ้นมาให้เรียก Batch File เพื่อ Copy Folder ไปไว้ในไดรฟ์ C:\ ตามตำแหน่งเดิมของเกมส์

มาดูคำสั่งกันก่อนครับ ว่าเขียนยังไง พารามิเตอร์แต่ละตัวมีความหมายยังไง

xcopy "source" "destination" /e /i /y

xcopy หมายถึง คำสั่งคัดลอก Folder
source หมายถึง ตำแหน่ง Folder ที่ต้องการคัดลอก
destination หมายถึง ตำแหน่งปลายทางที่ต้องการเก็บ Folder ที่คัดลอกมา
/e หมายถึง ให้คัดลอก Folder ย่อย ที่อยู่ข้างในด้วย
/i หมายถึง ถ้าคัดลอกมากกว่า 1 ไฟล์ หรือถ้าไม่มีตำแหน่งปลายทาง ให้เข้าใจว่าเป็น Folder
/y หมายถึง ถ้ามี Folder ปลายทางอยู่แล้ว ให้เขียนทับได้เลย

ตัวอย่าง Batch File Copy Folder เกมส์ Football City Stars

Batch File ฝั่ง Server

@echo off
xcopy "%USERPROFILE%\My Documents\Ubisoft" "D:\Ubisoft" /e /i /y



Batch File ฝั่ง Client

@echo off
xcopy "D:\Ubisoft" "%USERPROFILE%\My Documents\Ubisoft" /e /i /y

หมายเหตุ
ไดรฟ์ D:\ คือไดรฟ์ที่เรา Share หรือทำ Lan Disk นะครับ

ท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจ ผมหวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์กับร้านเน็ตของท่านบ้างไม่มากก็น้อยครับ